น้ำท่วม “กลันตัน-ตรังกานู-ปะหัง” ยังน่าห่วง-ชาวบ้านด่าขรมกู้ภัย “ล่าช้า” VDO

หน่วยกู้ภัยมาเลเซียเร่งให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบอุทกภัยใน 3 รัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ ท่ามกลางเสียงก่นด่ารัฐบาลที่ไร้ศักยภาพในการตอบสนองเหตุน้ำท่วมใหญ่ รวมถึงกระแสโจมตีนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก ที่ดอดไป “ตีกอล์ฟ” กับผู้นำสหรัฐฯ อย่างสบายใจในห้วงเวลาที่ประเทศชาติกำลังเผชิญวิกฤต

ยอดผู้ประสบภัยที่ต้องละทิ้งบ้านเรือนพุ่งสูงกว่า 120,000 คน ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยายังประกาศเตือนฝนตกต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้สถานการณ์น้ำในรัฐกลันตัน, ตรังกานู และปะหัง อยู่ในขั้นวิกฤตต่อไปอีกระยะหนึ่ง

เต็งกู ซาริฟุดดิน เต็งกู อะหมัด ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระบุว่า นาจิบ ได้ตัดทอนภารกิจที่รัฐฮาวาย และจะเดินทางลงพื้นที่รัฐกลันตันในวันนี้(27) เพื่อควบคุมปฏิบัติการกู้ภัยด้วยตนเอง

รัฐบาลมาเลเซียยังได้จัดสรรงบประมาณราว 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนภารกิจบรรเทาทุกข์

ด้านรองนายกรัฐมนตรี มูห์ยุดดิน ยัสซิน ยอมรับว่า หน่วยกู้ภัยทำงานกันอย่างยากลำบาก เนื่องจากไฟฟ้าดับและถนนหลายสายถูกกระแสน้ำตัดขาด

“ผมยอมรับว่า สถานการณ์ในเวลานี้ค่อนข้างท้าทายสำหรับเจ้าหน้าที่กู้ภัย แต่เราจะพยายามจัดส่งอาหารให้ถึงมือผู้ประสบภัยให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์น้ำในแต่ละพื้นที่ด้วย” เขาให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เดอะสตาร์

กองทัพแดนเสือเหลืองได้ส่งเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยและรถบรรทุกเข้าไปในเมืองโกตาบาห์รูซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทย แต่การช่วยเหลือชาวบ้านเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากกระแสน้ำไหลเชี่ยวและบางพื้นที่รถไม่สามารถเข้าถึงได้

“อุทกภัยครั้งนี้รุนแรงเกินความคาดหมายของทางการ แผนรับมือภัยพิบัติที่ได้เตรียมไว้แทบจะช่วยอะไรไม่ได้เลย” ลิม กิต เซียง อดีต ส.ส.ฝ่ายค้าน พรรคเดโมเครติก แอคชัน ปาร์ตี ระบุในคำแถลงวันนี้(27)

รัฐกลันตันซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงจากอุทกภัยครั้งนี้ เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคฝ่ายค้านอิสลามแห่งมาเลเซีย (PAS) และยังเป็นหนึ่งในบรรดารัฐที่ยากจนที่สุดของแดนเสือเหลือง

ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นบางย่านในเมืองโกตาบาห์รูมีสภาพไม่ต่างจากทะเลโคลน

ชาวบ้านที่ขนย้ายข้าวของไปอาศัยอยู่ตามศูนย์พักพิงนอกเมืองโกตาบาห์รูต่างแสดงความไม่พอใจ และเกรงว่าสถานการณ์น้ำจะยิ่งเลวร้ายลง เนื่องจากฝนยังตกไม่หยุด

“ฉันโกรธ (รัฐบาล) เราไม่สนเรื่องการเมืองหรอกนะ แต่อยากให้รัฐบาลช่วยเหลือพวกเราอย่างที่พวกเขาควรจะทำ” ฟาร์ฮานา ซูฮาดา วัย 23 ปี ซึ่งทำงานกับบริษัทรับส่งพัสดุแห่งหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ โดยมีลูกน้อยวัย 6 เดือนอยู่ในอ้อมกอด

“ตอนเช้าฉันได้กินแค่ชากับบิสกิต 2-3 ชิ้น น้ำก็ไม่พอ อาหารจะให้ลูกกินก็ไม่มี”

ซูฮาดา ตัดสินใจทิ้งบ้านของเธอเมื่อ 4 วันก่อน หลังระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบถึงคอ

“ทรัพย์สินของฉันพังพินาศหมด บ้านก็เสียหาย รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ จมไปกับน้ำหมด”

นูร์ ฟาติน นูร์นาบิลาห์ วัย 13 ปี บอกว่า นี่เป็นประสบการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของเธอ และหลังจากนี้ก็ไม่รู้ว่าอนาคตครอบครัวจะเป็นอย่างไร

“หนูกลัว และคิดถึงบ้านมาก… หนูกลัวเพราะว่ายน้ำไม่เป็น และที่บ้านก็ไม่เหลืออะไรเลย”

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น