เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเหตุรุนแรงในฝรั่งเศสมีบางอย่างผิดปกติไปจากเหตุทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ก่อเหตุ กลุ่มผู้ก่อเหตุ หรือเป้าหมายในการก่อเหตุ แม้แต่สื่อทั่วไปหลายสำนักก็ตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดเหตุเกิดกลางกรุงปารีส แต่หน่วยข่าวกรองฝรั่งเศสไม่รู้เรื่อง และปล่อยผู้ก่อเหตุหนีจากที่เกิดเหตุได้ ทั้งที่เป็นเมืองหลวง และกล้องวงจรปิดก็จับภาพได้ชัดเจน รวมไปถึงการออกหมายจับคนที่อยู่ต่างประเทศโดยอ้างว่าเป็นผู้ร่วมก่อเหตุ และอีกหลายกรณีที่ทำให้คนบางกลุ่มไม่เชื่อว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
เหตุบุกยิงสำนักพิมพ์ที่อยู่ในภาวะใกล้ล้มละลาย สำนักพิมพ์ที่สร้างความแตกแยกในสังคมฝรั่งเศส อย่าง “ชาร์ลี เอ็บโด” ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือความบาดหมางที่เกิดขึ้นกับมุสลิมอย่างที่สื่อตะวันตกพยายามทำให้ทั่วโลกเข้าใจเช่นนั้น แต่ทว่าเรื่องนี้มีหลายอย่างที่เชื่อมโยง และเป็นหนึ่งในความพยายามของใครบางคนที่ต้องการกำจัดอิสลามออกจากยุโรป และรวมไปถึงความพยายามในการกู้ภาพลักษณ์ของยิวที่ตกต่ำอย่างหนักจากการก่อสงครามสังหารโหดเด็กๆ และคนชราในฉนวนกาซา
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านอิสลามในยุโรปมีมาอย่างต่อเนื่องอย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับมัสยิดทางตอนกลางของสวีเดน ที่คนร้ายพยายามวางเพลิงจนทำให้คนในมัสยิด 5 คนบาดเจ็บเมื่อช่วงก่อนเข้าสู่ปีใหม่ไม่กี่วัน ขณะที่เหตุเช่นนี้ยังเกิดขึ้นหลายพื้นที่ในยุโรปเช่นเนเธอแลนด์ที่พบว่า 1 ใน 3 ของ 475 มัสยิดเคยถูกโจมตีจากกลุ่มหัวรุนแรงต่อต้านอิสลามมาแล้ว และบางพื้นที่ถูกโจมตีมากกว่า 1 ครั้ง
และยังเป็นช่วงที่อิสราเอลค่อนข้างเพลี่ยงพล้ำในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ นับตั้งแต่ก่อสงครามก่อการร้ายสังหารพลเรือนที่ส่วนใหญ่เป็นเด็ก และคนชราในฉนวนกาซา จนทำปาเลสไตน์ได้รับการยอมรับมากขึ้นดังที่รัฐสภาของหลายประเทศในยุโรปแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการรับรองรัฐปาเลสไตน์ รวมถึงฝรั่งเศส ในขณะที่สวีเดนเป็นยุโรปชาติแรกที่ให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ และที่หนักที่สุดคือการได้เข้าร่วมเป็นภาคีในศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ที่จะทำให้อิสราเอลซุ่มเสียงสูงที่จะถูกสอบสวนในอาชญากรรมสงครามหลายครั้งที่อิสราเอลก่อขึ้น รวมไปถึงการที่คนยิวจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ที่พากันทิ้งสัญชาติอิสราเอลในปีที่ผ่านมา
ดังนั้นเหตุที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสจึงไม่ใช่เรื่องเกิดคาดกับประเทศที่โหวตหนุนแผนสันติภาพของปาเลสไตน์ในที่ประชุมความมั่นคง UN ประเทศที่มีชาวมุสลิมอยู่มากที่สุดในยุโรปแต่กระแสต่อต้านอิสลามจุดไม่ค่อยติด แถมยังเป็นที่ตั้งของสำนักพิมพ์ที่ฉาวที่เคยนำภาพการ์ตูนดูหมิ่นท่านนบีมูฮัมหมัดซ็อลลั๊ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมจากเดนมาร์กมาพิมพ์ซ้ำเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้นการโจมตีฝรั่งเศสจึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ทันที่หลังเกิดเหตุโจมตีสำนักงานชาร์ลี เอ็บโด 7 วันหลักเกิดเหตุชาวมุสลิมตกเป็นเป้าโจมตีพุ่งขึ้น 50 กรณี ทั้งระเบิด ยิงปืน พ่นข้อความ ส่งจดหมายข่มขู่ และยังได้ขยายตัวไปยังพื้นที่อื่นๆ ในยุโรปด้วย ขณะที่กระแสต่อต้านอิสลามในเยอรมันที่จุดไม่ติดก่อนหน้านี้ก็เรียกคนนับหมื่นร่วมเดินขบวน ชาวยิวเกือบครึ่งเริ่มคิดว่าจะไม่ปลอดภัยในยุโรปเนื่องจากหนึ่งในจุดเกิดเหตุคือร้านค้าชาวยิว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชาวยิวไม่ยอมกลับอิสราเอลและพากันทิ้งสัญชาติยิว
ขณะที่สื่อต่างพากันฟันธงว่าเหตุเกิดจากมุสลิมไม่พอใจเหตุที่ชาร์ลี เอ็บโดเคยดูหมิ่นอิสลามเมื่อหลายปีก่อน และปิดปากกลุ่มคนที่เห็นต่าง ดังเช่นคน 54 ที่ถูกจับในฝรั่งเศสพร้อมยัดเยียดข้อหาสนับสนุนก่อการร้าย หรือแม้แต่ผู้สื่อข่าวอาวุโสของ CNN อย่าง จิม แคลนซี่ ก็ถูกบีบให้ออกหลังไม่ยอมทำตามการบังคับให้ช่วยโฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพให้คนทั่วไปเข้าใจว่ายิวไซออนิสต์เป็นคนดี และจำเลยของสังคมโลกคือมุสลิม
มันเป็นบางส่วนของความจริงที่ต้องประจักษ์ “ชาร์ลี เอ็บโด” ที่มุสลิมถูกยัดเยียดให้เป็นจำเลย ในขณะที่บางกลุ่มใช้เหตุดังกล่าวสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับตนเอง แม้ตนเองจะไม่เคยมีภาพลักษณ์ดังกล่าวในชีวิตจริงก็ตาม
i-News