“HSBC กลางกรุงเจนีวา” ถูกอัยการสูงสุดสวิสบุกค้น “เหตุพัวพันฟอกเงิน” โยงอิหร่าน

โอลิเวีย ยอร์นอต ( Olivier Jornot) อัยการสูงสุดสวิสนำทีมบุกเข้าตรวจค้นสำนักงานธนาคารสัญชาติอังกฤษ HSBC ประจำกรุงเจนีวาในวันพุธ(18) หลังล่าสุดธนาคารแห่งนี้ถูกเปิดโปงถึงการพัวพันฟอกเงิน จากที่ก่อนหน้านี้อื้อฉาวในเรื่องบัญชีลับของลูกค้าอภิมหาเศรษฐีใช้ในการเลี่ยงภาษี ในขณะที่ธนาคารแห่งนี้ตกเป็นข่าวโยงถึงเดลี เทเลกราฟ สื่ออังกฤษ ที่ถูกกล่าวหาว่า เม็ดเงินมหาศาลในการโฆษณาต่อสื่ออังกฤษ ส่งอิทธิพลทำให้รายงานเอกซ์คลูซีฟแฉ “ความสัมพันธ์ลึกลับระหว่าง HSBC และรัฐบาลอิหร่าน” ของแฮร์รี วิลสัน ( Harry Wilson) อดีตบก.ด้านเศรษฐกิจไม่ถูกตีพิมพ์ในปีที่ผ่านมา

สื่ออนไลน์ ยูโรเซอร์เวอร์รายงานเมื่อวานนี้(19) ถึงแถลงการณ์ที่ออกมาจากสำนักงานอัยการสวิตเซอร์แลนด์ในการเข้าบุกค้นสำนักงานธนาคาร HSBC ประจำกรุงเจนีวาว่า “การตรวจค้นยังดำเนินต่อไปภายใต้ความยินยอมของธนาคาร HSBC ที่ในการเข้าตรวจค้นครั้งนี้นำโดยโอลิเวีย ยอร์นอต ( Olivier Jornot) อัยการสูงสุดสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมกับอัยการ อีฟส์ เบอร์โทสซา (Yves Bertossa) หลังพบเงื่อนงำการพัวพันฟอกเงินอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ข่าว HSBC ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจากถูก แอร์เว ฟัลซิอานี (Herve Falciani) อดีตพนักงานด้าน IT ของ HSBC ได้เปิดเผยต่อหนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส “เลอมงด์” ถึงความลับที่ทางธนาคารสัญชาติอังกฤษช่วยลูกค้าเจ้าสัวทั่วโลกช่วยเลี่ยงภาษี และต่อสมาคมผู้สื่อข่าวสืบสวนระหว่างประเทศ (International Consortium of Investigative Journalists )หรือ ICIJ ซึ่งเอกสารลับที่บันทึกการกระทำในช่วงปี 2005 – 2007 ชี้ว่า ทางธนาคารได้ช่วยลูกค้าให้สามารถหลบเลี่ยงภาษีหลายล้านดอลลาร์ โดยการอนุญาตให้บรรดาลูกค้าเศรษฐีหมื่นล้านใช้ช่องทางบัญชีลับสวิสเป็นแหล่งซ่อนเงิน และยังให้คำแนะนำถึงช่องโหว่ทางกฎหมายของอียูที่เกี่ยวกับภาษีคำสั่งออมทรัพย์ยุโรป (European Savings Directive)

โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมที่พบว่า หนังสือพิมพ์รายวัน “เลอมงด์” ของฝรั่งเศสได้รับข้อมูลความยาวหลายพันหน้า ซึ่งเอกสารที่ถูกเปิดโปงเหล่านี้ได้ถูกส่งต่อไปยังสมาคมผู้สื่อข่าวสืบสวนระหว่างประเทศ หนังสือพิมพ์ เดอะการ์เดียน บีบีซีพาโนรามา และสำนักข่าวกว่า 50 แห่งทั่วโลก โดยถือเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสวนร่วมกัน

เอกสารดังกล่าวมีข้อมูลของลูกค้าชาวอังกฤษเกือบ 7,000 คน และบัญชีโดยมากไม่เคยเปิดเผยให้สรรพากรรับรู้มาก่อน

สำนักงานสรรพากร และศุลกากรอังกฤษ (MHRC) ได้รับข้อมูลเหล่านี้เมื่อปี 2010 และระบุว่า พบว่ามีชาวอังกฤษที่ยังไม่ได้เสียภาษี 1,100 คน แต่แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบ 5 ปีแล้ว ก็ยังมีผู้เลี่ยงภาษีถูกดำเนินคดีเพียงรายเดียว

MHRC ระบุว่า ผู้ที่ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้ในบัญชีธนาคารที่สวิตเซอร์แลนด์ได้จ่ายภาษี ดอกเบี้ย และค่าปรับรวมเป็นเงิน 135 ล้านปอนด์ (ราว 6,700 ล้านปอนด์)

HSBC ไม่เพียงแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่า ลูกค้ากำลังเลี่ยงภาษีเท่านั้น แต่ยังกระทำผิดกฎหมาย ด้วยการลงมือช่วยเหลือลูกค้าในบางกรณี เป็นต้นว่า ออกบัตรเครดิตต่างประเทศแก่ครอบครัวฐานะร่ำรวย เพื่อให้พวกเขาสามารถถอนเงินที่ปกปิดสรรพากรจากตู้กดเงินต่างประเทศ

นอกจากนั้น HSBC ยังได้ช่วยลูกค้าที่เลี่ยงภาษีให้รอดพ้นจากการกฎหมายอีกด้วย

เมื่อมีการบังคับใช้คำสั่งออมทรัพย์ยุโรป (European Savings Directive) เมือปี 2005 ก็มีการกำหนดให้ธนาคารสวิสจะต้องเรียกเก็บภาษีค้างชำระจากบัญชีธนาคารที่ไม่ได้รับการเปิดเผย และส่งภาษีไปยังสรรพากร

ภาษีดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อสกัดผู้หลบเลี่ยงการจ่ายภาษี แต่แทนที่ HSBC จะเรียกเก็บภาษีจากลูกค้า ธนาคารนี้กลับทำหนังสือถึงลูกค้า เพื่อเสนอแนวทางเลี่ยงภาษีรูปแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม HSBC ยังยืนกรานปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า ผู้ถือบัญชีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้หนีภาษีโดยทั้งสิ้น

ในเวลานี้ ธนาคารนี้กำลังถูกสอบสวนอาญาทั้งในสหรัฐฯ ฝรั่งเศส เบลเยียม และอาร์เจนตินา HSBC กล่าวว่ากำลัง “ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง” แต่ที่อังกฤษ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งนี้ กลับไม่มีการดำเนินการดังกล่าว

HSBC ระบุว่า ได้สังคายนาธุรกิจการธนาคารเอกชนของทางสถาบันแล้ว รวมทั้งได้ลดจำนวนบัญชีธนาคารจากสวิตเซอร์แลนด์ลงเกือบร้อยละ 70 นับตั้งแต่ปี 2007 และ “ HSBC ได้ดำเนินมาตรการมากมายเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ใช้บริการธนาคารของตนเป็นช่องทางในการเลี่ยงภาษี หรือฟอกเงิน”

อย่างไรก็ตาม บีบีซีพาโนรามาได้พูดคุยกับแหล่งข่าวคนหนึ่งซึ่งระบุว่า ยังคงพบปัญหาการเลี่ยงภาษีเกิดขึ้นที่ธนาคารHSBC ขณะเธอทำงานที่ธนาคารนี้เมื่อปี 2013

ซู เชลลี เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายผู้กำกับดูแลการปฏิบัติงานด้านธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ของธนาคารHSBC ในลักเซมเบิร์ก เธอชี้ว่า HSBC ไม่ได้ทำตามสัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานให้โปร่งใสขึ้น “ดิฉันคิดว่าการตกปากรับคำก็เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่พวกเขาไม่ได้ลงมือทำจริง และเรื่องนั้นก็เป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจดิฉันอย่างรุนแรง”

ทั้งนี้ งานของเชลลี คือการสร้างความมั่นใจว่า HSBC บริหารกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทว่า เธอถูกไล่ออกเมื่อยกประเด็นที่เธอกังวลขึ้นหารือ และจากนั้นเธอก็ชนะคดีถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

และผลจากข่าวการเลี่ยงภาษีครั้งใหญ่ที่ถูกเปิด คาดกันว่ารัฐบาลในกลุ่มเศรษฐกิจยุโรปต้องสูญเสียเม็ดเงินร่วม 1 ล้านล้านยูโรต่อปี และทำให้สหภาพยุโรปต้องออกมาตรการตอบโต้ เพิ่มมาตรการให้มีความเข้มงวดมากขึ้น และให้มีการยกเครื่องกฎหมายเปิดเผยข้อมูลทางบัญชีออฟชอร์ที่อย่ภายในกลุ่มประเทศสมาชิกมากยิ่งขึ้น และยังรวมไปถึงมีการเจรจาทวิภาคีระหว่างอียูและรัฐบาลสวิสในภาษีเงินฝากในปี 2014

การเปลี่ยนแปลงใหม่ยังรวมไปถึง การให้ข้อมูลเงินคงเหลือทางบัญชีของลูกค้า ดอกเบี้ย เงินปันผล และการขายที่เพิ่มมากขึ้นจากทรัพย์สินทางการเงิน รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ นอกจากนี้รัฐบาลสวิสยังรับปากที่จะออกกฎหมายเพื่อบังคับให้สถาบันการเงินในสวิตเซอร์แลนด์ต้องเปิดเผยข้อมูลเหล้านี้ก่อนปี 2017

นอกจากนี้ ธนาคาร HSBC ยังตกเป็นข่าวฉาวเพิ่มขึ้นเมื่อ บัสฟีด สื่อออนไลน์ รายงานในวันเดียวกัน(19)ว่า หนังสือพิมพ์ เดลี เทเลกราฟ ยักษ์ใหญ่ของวงการสื่ออังกฤษ ได้ปฎิเสธที่จะกล่าวคำขอโทษ ในการไม่เสนอข่าวเอ็กสคลูซีฟในปีที่ผ่านมา ซึ่งเปิดเผยถึงความเชื่อมโยงของ HSBC ที่มีต่อรัฐบาลอิหร่าน โดนบัสฟีดชี้ว่า เป็นข้อมูลเบื้องหลังเจาะลึกที่แฉว่า ทางธนาคารยอมจ่ายร่วมหลายแสนปอนด์เป็นค่าเช่าที่ของสำนักงานสาขากลางกรุงลอนดอนให้กับบริษัทพลังงานอิหร่านที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเตหะราน

ซึ่งแฮร์รี วิลสัน ( Harry Wilson) อดีตบก.ด้านเศรษฐกิจเป็นผู้เปิดเผยเป็นครั้งแรก และข้อมูลชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์เดลี เทเลกราฟ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2014 ที่ในท้ายที่สุดกลับถูกสื่ออังกฤษปรับข้อมูลเจาะลึกชิ้นนี้ให้ลดความสำคัญลง ที่แทบไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เหลือเป็นแค่ข่าวย่อยจำนวน 43 คำ ถูกเสนอรวมในข่าวทั่วไปของ HSBC ในหน้าเศรษฐกิจ และเป็นที่น่าเสียดายว่า บทความชิ้นนี้กลับไม่เคยที่จะได้รับการเผยแพร่ทางออนไลน์ชองเดลี เทเลกราฟ และที่สำคัญไปกว่านั้น เนื้อหายังถูกตัดข้อมูลสำคัญในย่อหน้าท้ายของบทความที่ชี้ถึงธนาคาร HSBC ได้จ่ายเงินให้กับรัฐบาลอิหร่านด้วยวิธีใด

และข่าวฉาวชิ้นนี้ยังทำให้ ปีเตอร์ ออสบอร์น ( Peter Oborne) คอมเมนเทเตอร์ด้านการเมืองของเดลี เทเลกราฟที่ทำงานให้เกือบ 5 ปี ต้องลาออกในบ่ายวันอังคาร(17) โดยอ้างเหตุสืบเนื่องมาจากการที่ทางเดลี เทเลกราฟ สื่ออังกฤษยินยอมให้ HSBC เข้ามามีอิทธิพลต่อการนำเสนอข่าวเศรษฐกิจของสิ่งพิมพ์ “เพราะธนาคารแห่งนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ลงโฆษณาให้กับเดลี เทเลกราฟ” ที่หลังจากนั้นพบว่าบทความที่วิพากษ์ HSBC ในแง่ลบได้ถูกถอดออกจากเดลี เทเลกราฟอย่างเป็นปริศนา

ด้าน HSBC แถลงไม่ตอบข้อซักถามถึงเงื่อนงำที่ถูกแฉโดยออสบอร์น แต่อ้างว่าทางธนาคารไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือสื่ออังกฤษไปได้ ส่วนเดลี เทเลกราฟปฎิเสธที่จะขอโทษ หรือให้คำอธิบายว่าเหตุใดทางสื่อจึงไม่ตีพิมพ์บทความที่สมบูรณ์ในการแฉ HSBC ของวิลสันลงบนเว็บไซต์ของสื่ออังกฤษ และนอกเหนือไปกว่านี้ ทางสื่ออังกฤษยังปฎิเสธการกล่าวหาของออสบอร์นที่อ้างว่า เดลี เทเลกราฟต้องทำตามความประสงค์ของ HSBC เนื่องจากเม็ดเงินโฆษณามหาศาล

นอกจากนี้บัสฟีดยังชี้เพิ่มเติมว่า ไม่พบสื่อเจ้าอื่นจะติดตามเสนอข่าว “HSBC พัวพันอิหร่าน” จนกระทั่งในอีก 11 วันต่อมาเมื่อสื่อไทม์สได้เสียสละเนื้อที่ในหน้าธุรกิจในฉบับตีพิมพ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2014 เสนอบทความที่มีความยาว 467 คำรายงานภายใต้หัวข้อ “HSBC finds political unexploded bomb in London branch” หรือ “HSBC เจอระเบิดการเมืองในสาขากรุงลอนดอน” เปิดโปงความเชื่อมโยงธนาคารอังกฤษและอิหร่าน และสื่อมวลชนอื่นที่เกาะติดหลังจากการรายงานของไทม์ส ต่างยกย่องให้ไทม์สถือเป็นเจ้าแรกที่เปิดโปง โดยไม่ทราบมาก่อนว่า วิลสันจากเดลี เทเลกราฟได้เคยเปิดโปงเรื่องนี้มาก่อนหน้านั้นแล้ว

การรายงานของบัสฟีดยังสอดคล้องกับการเปิดเผยของเดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ ในวันพฤหัสบดี(19) ที่ว่า พื่น้องตระกูลบาร์เคล เฟเดริก และเดวิด บาร์เคล ได้เงินกู้ร่วม 250 ล้านปอนด์ จาก HSBC เพื่อเข้าพยุงกิจการด้านลอจิสติก โยเดล (Yodel)ของตระกูล ไม่นานก่อนที่บรรดานักข่าวของเดลี เทเลกราฟจะถอดใจไม่ยอมเสนอข่าวขุดคุ้ย HSBC อีกต่อไป โดยเดอะการ์เดียนอ้างจากเอกสารของบริษัทชี้ว่า ข้อตกลงสัมฤทธิผลในวันที่ 14 ธันวาคม 2012 ยิ่งเพิ่มเงื่อนงำตอกย้ำเดลี เทเลกราฟเพิ่มเติมไปจากอิทธิพลเม็ดเงินโฆษณาของ HSBC ที่มีต่อสื่ออังกฤษ

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น