ประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ของเวเนซุเอลา หยิบยกเหตุผลด้านความมั่นคง สั่งลดจำนวนและบทบาทของนักการทูตสหรัฐฯซึ่งประจำอยู่ในประเทศของเขา รวมทั้งกำหนดให้นักท่องเที่ยวอเมริกันที่ต้องการเดินทางเข้าเวเนซุเอลาต้องขอวีซ่า ตลอดจนห้ามนักการเมืองชื่อดัง อาทิ อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เข้าประเทศ เนื่องจากถือเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ฝากถึงประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้ปฏิเสธการเจรจาปรองดองอย่างหยิ่งยะโส ด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอ้างข้อกล่าวหาที่ว่าสหรัฐแทรกแซงเพื่อล้มล้างรัฐบาลเวเนซุเอลานั้นเป็นเรื่องน่าขัน
ประธานาธิบดีมาดูโร ปราศรัยต่อที่ชุมนุมต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมในกรุงการากัสเมื่อวันเสาร์ (28 ก.พ.) ซึ่งมีการถ่ายทอดทั้งทางทีวีและวิทยุทั่งประเทศว่า การแทรกแซงของ “ต่างด้าว” บีบให้เขาต้องออกมาตรการจำกัดบางอย่าง ซึ่งรวมถึงการกำหนดให้นักการทูตอเมริกันต้องขออนุญาตจากกระทรวงการต่างประเทศเวเนซุเอลาก่อนจัดการประชุมใดๆ
ผู้นำเวเนซุเอลาเสริมว่า ได้ออกข้อกำหนดใหม่เกี่ยวกับวีซ่านักท่องเที่ยวเพื่อเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ หลังจากไม่กี่วันนี้เจ้าหน้าที่ได้จับกุมพลเมืองอเมริกันหลายคนที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการสอดแนม ในจำนวนนี้มีคนหนึ่งเป็นนักบิน
มาดูโรและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคนอเมริกันที่ถูกควบคุมตัว ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ในกรุงการากัสไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ เช่นกัน กระนั้น ช่วงเช้าวันเสาร์ เวเนซุเอลาได้ปล่อยตัวมิสชันนารีอเมริกันจากมลรัฐนอร์ทดาโคตา 4 คนหลังถูกควบคุมตัวนานหลายวัน บุคคลเหล่านี้ยังถูกห้ามเดินทางกลับไปเวเนซุเอลาเป็นระยะเวลา 2 ปี
ความสัมพันธ์อันระหองระแหงระหว่างสองประเทศนี้ ยิ่งเลวร้ายลงอย่างรวดเร็วหลังจากมาดูโรระบุว่าสหรัฐวางแผนก่อกวนเศรษฐกิจและสังคมเวเนซุเอลา รวมทั้งร่วมกับกลุ่มต่อต้านวางแผนรัฐประหารซึ่งรวมถึงวางระเบิดทำเนียบประธานาธิบดี ขณะที่อเมริกาอ้างว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวน่าขัน
อันที่จริงความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างเวเนซุเอลากับสหรัฐฯตึงเครียดมาตั้งแต่ยุคของ ฮูโก ชาเบซ อดีตผู้นำสังคมนิยมที่ล่วงลับไปแล้ว โดยในช่วงที่ชาเบซถูกโค่นล้มเป็นระยะเวลาสั้นๆ ในปี 2002 ด้วยการรัฐประหารซึ่งเขาระบุว่าเป็นฝีมือการวางแผนและดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯนั้น รัฐบาลอเมริกันของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในตอนนั้น ได้ออกมาประกาศรับรองการรัฐประหารไปแล้วด้วยซ้ำ ก่อนจะถอยกลับมาเมื่อชาเบซสามารถกลับคืนสู่อำนาจได้ใหม่
สองประเทศนี้ไม่ได้แลกเปลี่ยนเอกอัครราชทูตกันอีกเลยนับจากปี 2010 แต่ยังคงมีเจ้าหน้าที่การทูตระดับรองประจำอยู่ในสถานเอกอัครราชทูตซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอีกฝ่ายหนึ่ง
ระหว่างการปราศรัยในวันเสาร์ มาดูโรระบุว่า อเมริกามีเจ้าหน้าที่การทูตในการากัสถึง 100 คน ขณะที่มีนักการทูตเวเนซุเอลาในวอชิงตันเพียง 17 คน เขาจึงสั่งการให้รัฐมนตรีต่างประเทศ เดลซี โรดริเกซ ดำเนินการทันทีโดยอิงกับอนุสัญญากรุงเวียนนา เพื่อทบทวน ลด และจำกัดจำนวนเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯในเวเนซุเอลา
ผู้นำเวเนซุเอลายังระบุอีกว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ปฏิเสธการเจรจาปรองดองกันอย่างโอหังยะโส
มาดูโรบอกด้วยว่า ต่อจากนี้ไปชาวอเมริกันที่ต้องการเดินทางเข้าเวเนซุเอลา จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมวีซ่าเท่ากับที่อเมริกาเรียกเก็บจากชาวเวเนซุเอลา และต้องจ่ายเป็นดอลลาร์ซึ่งเวเนซุเอลากำลังขาดแคลน โดยเวเนซุเอลาพร้อมต้อนรับชาวอเมริกันทุกคน ยกเว้นเจ้าหน้าที่บางคน อาทิ อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช, อดีตรองประธานาธิบดีดิ๊ก เชนีย์ และวุฒิสมาชิก มาร์โก รูบิโอ จากฟลอริดา จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเวเนซุเอลา เพราะเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากการส่งกำลังเข้าโจมตีซีเรีย อิรัก และอัฟกานิสถาน
ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า ยังไม่ได้รับการติดต่อจากเวเนซุเอลาและไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อจำกัดใหม่ๆ ซึ่งมีขึ้นหลังจากเมื่อเร็วๆ นี้สหรัฐสั่งห้ามเจ้าหน้าที่อาวุโสของเวเนซุเอลากลุ่มหนึ่งเข้าสหรัฐฯ โดยคนเหล่านี้ถูกกล่าวหาว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชน
ข้อกำหนดใหม่ของเวเนซุเอลามีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อนักเดินทางประเภทธุรกิจมากกว่านักท่องเที่ยว เนื่องจากเวเนซุเอลาเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก