วันนี้ (10 มี.ค.) ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รกน. (รักษาการในตำแหน่ง ) ผบช.ก. พ.ต.อ.สมพร แดงดี รอง ผบก.ปอท. พ.ต.อ.ยศวีร์ พรพีรพาน ผกก.1 บก.ปอท. พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผกก.2 บก.ปอท. แถลงข่าวจับกุม นางจิดาภา แอลทีดี อายุ 50 ปี ประธานบริษัท เอเชี่ยน มัด เทรดดิ้ง จำกัด น.ส.ลักขณา มูลทา อายุ 29 ปี บุตรสาว นางจิดาภา และ น.ส.ศรรังสี คงตระกูลเทียน อายุ 27 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลปลอม หรือข้อมูลอันเป็นเท็จในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน พร้อมของกลาง เงินสด 4.54 ล้านบาท รถยนต์ บัญชีธนาคารต่างๆ กว่า 10 บัญชี ทองรูปพรรณ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือและทรัพย์สินต่างๆ อีกหลายรายการ รวมมูลค่าประมาณ 7.5 ล้านบาท โดยจับกุม นางจิดาภา ได้ที่ลานจอดรถศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารบี ถนนแจ้งวัฒนะ ส่วน น.ส.ลักขณา จับกุมได้ที่ บริษัท ทอมดี้เบสท์ เทรดดิ้ง จำกัด หมู่บ้านการ์เด้นสวีท เลขที่ 289/215 ซอย 12 ถนนราษฎร์พัฒนา แขวงและเขตสะพานสูง กทม. ส่วน น.ส.ศรรังสี จับกุมตัวได้ที่บ้านเลขที่ 70/181 หมู่บ้านมัณทิรา ถนนเคหะร่มเกล้า แขวงและเขตสะพานสูง
พ.ต.อ.สมพร กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ที่ผ่านมา ตัวแทนบริษัทผู้ผลิตน้ำมันชื่อดังแห่งหนึ่ง (บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน)) ได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ปอท. ว่า มีคนร้ายปลอมข้อมูลต่างๆ ของบริษัท แล้วติดต่อซื้อขายน้ำมันพร้อมกับส่งอีเมลไปหลอกลวงบริษัทเอกชนในประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นลูกค้าผู้ซื้อน้ำมัน ก่อนที่ลูกค้ารายนี้จะชำระเงินจำนวน 32 ล้านบาท ผ่านบัญชีธนาคาร แต่ปรากฏว่าเงินถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของบริษัท เอเชี่ยน มัด เทรดดิ้ง จำกัด ภายหลังได้รับแจ้ง ชุดสืบสวน กก.1 บก.ปอท. จึงรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ กระทั่งพบว่า กลุ่มผู้ต้องหาได้ร่วมกับคนร้ายชาวผิวดำ จากทวีปแอฟริกา ยังไม่ทราบสัญชาติ ทำการเปลี่ยนเส้นทางเงินให้ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้ต้องหา ก่อนจะถอนเงินออกมา รวมทั้งถ่ายโอนให้ผู้ร่วมขบวนการ และแปลสภาพเป็นทรัพย์สินต่างๆ
พ.ต.อ.สมพร กล่าวต่อว่า เมื่อมีข้อมูลแน่ชัดแล้วเจ้าหน้าที่จึงขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเอาไว้ ก่อนจะสามารถสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ไว้ได้ โดยทั้งหมดมีหน้าที่เปิดบริษัท เพื่อใช้ในการหลอกลวงผู้เสียหาย และเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรองรับการโอนเงิน ซึ่งมีชาวแอฟริกาเป็นหัวหน้าขบวนการที่คอยวางแผนและเป็นผู้เข้าไปดำเนินการส่งอีเมลในการหลอกลวงผู้เสียหาย เบื้องต้นพบว่ามีการกระทำมาเป็นเวลากว่า 3 ปี โดยเกิดความเสียหายขึ้นในหลายสิบประเทศทั่วโลก
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า ได้เปิดบริษัทและเปิดบัญชีธนาคารที่ถูกใช้ในการกระทำความผิด พร้อมทั้งหักเงิน 15% จากยอดที่ได้รับการโอนเงินจากเหยื่อ ก่อนจะโอนส่วนที่เหลือให้กับชายชาวแอฟริกา หัวหน้าขบวนการ จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.ปอท.ก่อนขยายผลผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีต่อไป