เปิดใจน้าชายชาวโรฮิงญาเหยื่อแก๊งค้ามนุษย์ในแคมป์สังหารกลางป่า อ.สะเดา จ.สงขลา เป็นครั้งแรกหลังหลานชายถูกฆ่าตาย ด้านพยานแฉผู้ถูกคุมตัวในแคมป์มีทั้งถูกตีด้วยท่อนไม้จนตายและยิงทิ้งราวใบไม้ร่วง แฉเบื้องหลังมีคนไทยในพื้นที่สงขลาเป็นเจ้าของแคมป์
วันนี้ (3 พ.ค.) ที่ จ.นครศรีธรรมราช ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความคืบหน้าคดีเรียกค่าไถ่จากนายกูราเมีย ชาวโรฮิงญาที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อไถ่ตัวหลานชายคือนายคาซิม ที่เดินทางมาจากรัฐยะไข่ โดยถูกกักตัวอยู่ที่ป่าแห่งหนึ่งใน อ.สะเดา จ.สงขลา โดยครั้งแรกได้จ่ายเงินไปแล้ว 95,000 บาท แต่ได้เรียกเพิ่มอีก 120,000 บาท แต่นายกูราเมียไม่มีเงินจึงเข้าแจ้งความ
ขณะที่มีประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ขณะที่นายคาซิมถูกสังหาร หลังจากที่นายอานัว ผู้ต้องหา รู้ว่านายกูราเมียแจ้งความกับตำรวจนครศรีธรรมราช จึงเข้าเป็นพยานให้กับนายกูราเมีย จนนำไปสู่การออกหมายจับกุมนายอานัว และถูกติดตามจับกุมตัวไว้ได้ในที่สุด และมีการขยายผลไปจนถึงแคมป์จุดฝังศพจำนวนมากในอำเภอสะเดา
นายกูราเมีย ชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช น้าชายชาวโรฮิงญาเหยื่อ 1 ในหลายศพจากจุดฝังศพแคมป์โรฮิงญากลางป่าใน อ.สะเดา จ.สงขลา ปรากฏตัวและยอมเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเป็นครั้งแรก ถึงสาเหตุที่เหยื่อถูกสังหาร รวมทั้งประจักษ์พยานหนึ่งในชาวโรฮิงญาที่เห็นเหตุการณ์ขณะสังหาร
นายกูราเมีย ได้กล่าวผ่านล่ามว่า นายอานัวได้ติดต่อว่าคุมตัวหลานชายของตนเองไว้ได้แล้ว และขอค่าไถ่เป็นจำนวนเงิน 95,000 บาท หลังจากที่โอนเงินให้ไปแล้วปรากฏว่าไม่ยอมติดต่อกลับมาอีกเลย จนกระทั่ง 15 วันผ่านไปได้เรียกเงินเพิ่มอีก 120,000 บาท แต่ไม่มีเงินแล้วจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความจนกระทั่งนายอานัว รู้ว่าได้เข้าแจ้งความแล้วนายคาซิม หลานชายจึงถูกฆ่า
ขณะที่ประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่นายอานัวและลูกน้องรุมฆ่านายคาซิม ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวผ่านล่ามโดยขอสงวนนามและปกปิดการบันทึกภาพว่าได้เดินทางออกมาจากรัฐยะไข่ ประเทศพม่าโดยถูกหลอกว่าจะนำไปทำงานในมาเลเซียราว 6 เดือนก่อน หลังจากนั้นได้ถูกกักตัวอยู่ในบริเวณที่เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นพบหลุมศพ และสามารถหลุดออกมาได้นั้นเนื่องจากแม่ที่อยู่ในประเทศพม่ายอมขายที่ดินเพื่อเงินโอนมาไถ่ตัวจำนวน 6,000 ริงกิต จึงสามารถออกมาจากแคมป์ดังกล่าวได้
พยานรายนี้เปิดเผยว่าขณะที่อยู่ในแคมป์นั้น รู้ว่ามีการตายเกิดขึ้นมากกว่า 500 คนในทุกแคมป์ตลอดแนวชายแดนไทยมาเลเซีย แคมป์ที่เจ้าหน้าที่เข้าไปค้นพบหลุมศพนั้น มีชาวโรฮิงญาราว 700-800 คนถูกคุมตัวอยู่ที่นั่นแต่หลังจากที่รู้ว่าเจ้าหน้าที่เข้าไปนั้นจะหลบเข้าไปในป่าฝั่งมาเลเซียที่อยู่ห่างไปราว 200 เมตร ตลอดแนวยังมีชาวโรฮิงญาอยู่อีกนับพันคนที่รอให้ญาติไถ่ตัวหรือซื้อขายแรงงานกัน
“ช่วงที่ผมอยู่ในแคมป์นั้นมีคนถูกฆ่าตายด้วยวิธีการตีด้วยท่อนไม้ขนาดใหญ่จนตายหรือยิงทิ้งราว 17-20 ศพ แต่ชาวโรฮิงญาในแคมป์จะไม่รู้ว่าเขานำไปฝังที่ไหน กรณีของนายคาซิมนั้นถูกนายอานัวตีจนตายและเขารีบลงมาจากบนภูเขาแล้วสั่งให้ลูกน้องอีก 2 คนซึ่งบอกชื่อกับเจ้าหน้าที่ไปแล้วเป็นคนจัดการต่อด้วยการนำไปฝัง ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่มีเงินไถ่ตัวหรือไม่มีญาติจะถูกตีจนบาดเจ็บสาหัสและตายไปเองหรือป่วยตาย” พยานรายนี้กล่าว
พยานรายนี้ยังกล่าวต่อว่า ช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาขณะที่มีชาวโรฮิงญาถูกกักอยู่ที่นี่เจ้าหน้าที่หน่วยงานหนึ่งได้เข้าจับกุมแล้ว แต่หลังจากที่มีการเจรจาปรากฏว่าทั้งหมดถูกปล่อยไป ส่วนผู้ที่เป็นเจ้าของแคมป์แห่งนี้เป็นชาวไทยมุสลิม 2 ผัวเมียชื่อว่า บังฉีและฟารีดา จะเข้ามาติดตามความเคลื่อนไหวทั้งจำนวนคนและยอดเงินที่ได้จากการไถ่ตัว