อุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องคดีมูจาฮีดีนใต้ ชี้ไร้ประจักษ์พยาน

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.4208/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายมาหามะสกรี มาหะ มะอูเซ็ง หรือนายอาหามะ มะอูเซ็ง อายุ 32 ปี ชาวจังหวัดยะลา เป็นจำเลย ในความผิดฐานสะสมกำลังพล หรืออาวุธตระเตรียมการ หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ , ผู้ใดเป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อกระทำการอันเป็นอั้งยี่ , ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กระทำผิดฐานซ่องโจร, ผู้ใดร่วมประชุมกันของอั้งยี่หรือซ่องโจร

ตามฟ้องโจทก์บรรยายสรุปว่า เมื่อเดือน มิ.ย.– ส.ค.45 จำเลยเป็นสมาชิก “มูจาฮีดีน” อิสลามปัตตานี เพื่อแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยร่วมกันแสวงหาประโยชน์จากการข่มขู่ กรรโชกทรัพย์ และมีอาวุธปืนเล็กกล HK 33 ขนาด .223 หลายกระบอก และอาวุธปืนเล็กกล อาก้า AK 47 ขนาด 7.62 มม. RUSSSIAN และกระสุนปืนจำนวนมาก ติดตัวไปในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.บุดี อ.เมือง และ ต.โกตาบารูอ.รามัน จ.ยะลา และ ตำบล-อำเภอใด ไม่ปรากฏชัด ในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เกี่ยวพันกัน ซึ่งจำเลย ถูกจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 21 ก.ย.55 โดยจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์มาเบิกความยืนยัน จึงมีน้ำหนักน้อยไม่อาจรับฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 แต่ศาลให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลย

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว โจทก์อุทธรณ์ว่าตามบันทึกคำให้การของพยานโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนหาข่าวและพนักงานสอบสวน รวมทั้งพยานแวดล้อมซึ่งเป็นบุคคลใกล้กับชิดกับจำเลย เคยให้การไว้ในบันทึกคำให้การต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตามคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า พบชื่อจำเลยอยู่ในบัญชีรายชื่อ สมาชิกกลุ่มมูจาฮีดีนระดับลูกแถว และพบข้อมูลสถานที่ในการก่อเหตุรวม 3 ครั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต่อมาก็ได้มีการก่อเหตุดังกล่าวขึ้นจริง

ศาลเห็นว่า แม้โจทก์นำพยานมาเบิกความในชั้นศาล ก็เป็นพยานแวดล้อมซึ่งไม่ได้เบิกความถึงรายละเอียดสาระสำคัญในพฤติการณ์ของจำเลยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาชิกกลุ่มมูจาฮีดีนอย่างไร อีกทั้งพยานไม่เคยได้ยินว่าจำเลยพูดถึงเกี่ยวกับเรื่องก่อการร้ายและเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ประกอบกับพยานบางคนมีอายุมากแล้ว รวมทั้งเหตุการณ์ดังกล่าวระยะเวลาล่วงเลยผ่านมาถึง 2 ปีแล้วพยานจึงจำเหตุการณ์ไม่ค่อยได้ และโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความประกอบการกระทำผิดของจำเลยตามที่ฟ้อง คงมีเพียงบันทึกคำให้การตามพยานบอกเล่าเท่านั้นโดยโจทก์ไม่ได้นำพยานที่เคยให้ปากคำตามบันทึกคำให้การของเจ้าหน้าที่ มาเบิกความต่อหน้าศาลและต่อหน้าจำเลยตามกฎหมาย

เมื่อวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าว เห็นว่ายังไม่อาจนำมารับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหลักฐานยังมีเหตุความสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรค 2 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืนยกฟ้อง

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น