การหลั่งไหลของผู้อพยพที่สิ้นหวังในอ่าวเบงกอลจะยังคงดำเนินต่อไปหากพม่ายังไม่ยุติการเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮิงญา ซาอิด ราอัด อัล ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าว
“จนกว่ารัฐบาลพม่าจะจัดการกับการเลือกปฏิบัติต่อชาวโรฮิงญา รวมทั้ง การเข้าถึงสิทธิพลเมืองอย่างเท่าเทียม การอพยพที่ไม่ปลอดภัยนี้จะยังคงเกิดต่อไป” ซาอิด ราอัด อัล ฮุสเซน กล่าวในคำแถลง
ซาอิดระบุว่าสถานการณ์ในรัฐยะไข่ของพม่า ต้นกำเนิดของผู้อพยพจำนวนมาก เป็นหนึ่งในแรงจูงใจหลักของความเคลื่อนไหวทางทะเลเหล่านี้
สหประชาชาติระบุว่าชนกลุ่มน้อยโรฮิงญาเป็นหนึ่งในผู้คนที่ถูกข่มเหงรังแกมากที่สุดในโลก
ผู้อพยพราว 25,000 คน ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญาและบังกลาเทศ เดินทางหลบหนีทางเรือในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ส่วนใหญ่ถูกลักลอบค้าไปยังไทยและควบคุมตัวในค่ายจนกระทั่งจ่ายเงินเพื่อเดินทางต่อไปยังชายแดนมาเลเซีย
หลายพันคนถูกทิ้งอยู่กลางทะเลในเรือง่อนแง่นหลังไทยปราบปรามการลักลอบค้ามนุษย์ กองทัพเรือของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ผลักดันคนเหล่านี้ออกจากชายฝั่งประเทศ
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้อพยพเกือบ 2,500 คน ขึ้นฝั่งของมาเลเซียและอินโดนีเซีย
หน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเรียกร้องให้นานาชาติค้นหาและช่วยเหลือผู้ที่ยังคงติดอยู่กลางทะเล
“ผมตกใจที่รายงานระบุว่าไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซียได้ผลักดันเรือที่เต็มไปด้วยผู้อพยพสิ้นหวังกลับไปกลางทะเล ที่จะนำไปสู่การเสียชีวิตของคนอีกเป็นจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งสำคัญคือควรมุ่งที่การช่วยชีวิต ไม่ทำให้คนเหล่านี้ตกอยู่ในอันตรายอีก” ซาอิด กล่าว.