คนอังกฤษเกินครึ่งมองชาวมุสลิมและศาสนาอิสลามเป็น “ภัยคุกคาม”

ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่จัดทำขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ 10 ปีของเหตุก่อวินาศกรรมกลางกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 2005 หรือเหตุ “7/7 Bombings” ระบุ มากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างชาวสหราชอาณาจักรในเวลานี้มองชาวมุสลิมเป็น “ภัยคุกคาม” ต่อประเทศชาติ

ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดซึ่งจัดทำขึ้นโดยสื่อดัง “ฮัฟฟิงตัน โพสต์ ยูเค” ร่วมกับสำนักวิจัย “ยูกอฟ” พบข้อมูลว่าราว 56 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมการสำรวจมองว่า “ชาวมุสลิมและศาสนาอิสลาม” เป็น “ภัยคุกคามใหญ่หลวง”ต่อเสรีภาพและประชาธิปไตยของโลกตะวันตก ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 46 เปอร์เซ็นต์จากการสำรวจเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่มีการเก็บข้อมูลหลังเหตุก่อวินาศกรรมในกรุงลอนดอนเกิดขึ้น 1 วัน

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจล่าสุดยังพบว่ามากกว่า 79 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่า จะเกิดเหตุโจมตีที่เป็นฝีมือของชาวมุสลิมขึ้นในสหราชอาณาจักรอีกอย่างแน่นอนในอนาคต มีเพียง 21 เปอร์เซ็นต์ที่ระบุว่าเหตุก่อวินาศกรรม “7/7” จะเป็นเหตุรุนแรงครั้งสุดท้ายในสหราชอาณาจักร

ผลสำรวจยังพบข้อมูลว่า 15 เปอร์เซ็นต์ของชาวเมืองผู้ดีในขณะนี้ มองว่าชาวมุสลิมส่วนใหญ่ที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในสหราชอาณาจักรเป็นพวกที่ขาดจิตสำนึกในเรื่อง “ความภักดีต่อประเทศชาติ” และพร้อมจะก่อเหตุรุนแรงต่อประเทศที่ตนเข้ามาอาศัยอยู่ได้ทุกเมื่อ

ทั้งนี้ เหตุก่อวินาศกรรมที่เกิดขึ้นกับระบบการคมนาคมและระบบขนส่งมวลชนกลางกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 2005 โดยฝีมือของมือระเบิด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในครั้งนั้นไปถึง 52 ราย และยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 800 รายจากเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 4 จุดทั่วกรุงลอนดอน

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น