เปิดใจ “สะมะแอ ท่าน้ำ” ในวันสัมผัสอิสรภาพนอกกำแพงสูง

“ขอขอบคุณ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้ดำเนินการปล่อยตัวผมก่อนกำหนด ถือว่าเป็นการให้ของขวัญที่มีค่าที่สุดกับครอบครัว และประชาชนบางกลุ่มที่รอคอยการออกมาเพื่อร่วมพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”

เป็นคำกล่าวของ สะมะแอ สะอะ หรือ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตหัวหน้าขบวนการพูโลวัย 63 ปี หลังผ่านคืนแรกที่ได้ออกมาสัมผัสบรรยากาศอิสรภาพนอกเรือนจำ หลังจากที่ถูกคุมขังอยู่ในนั้นมานานปี

หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ ได้รับการพิจารณาพักโทษเป็นกรณีพิเศษ กระทั่งได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดในวันที่ 17 กรกฎาคม 2558 ซึ่งตรงกับวันฮารีรายออีฎิ้ลฟิตริ ฮิจเราะห์ศักราช 1436 พอดี

การพักการลงโทษ หมายถึง การปลดปล่อยออกไปก่อนครบกำหนดโทษตามคำพิพากษาศาล ภายใต้เงื่อนไขคุมประพฤติที่กำหนดไว้ โดยมีคุณสมบัติ คือ เป็นนักโทษเด็ดขาด (ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว) เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม และเหลือโทษจำคุกไม่เกิน 1 ใน 3

บรรยากาศที่บ้านท่าน้ำ ที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี บ้านเกิดของหะยีสะมะแอ เต็มไปด้วยความคึกคัก แจ่มใส มีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้าน รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่รู้จักทั้งในและนอกพื้นที่ รวมทั้งจากส่วนกลางเดินทางมาเยี่ยมเป็นจำนวนมาก มีเสียงพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะแทบไม่ขาดสาย

“เมื่อวาน (วันแรกที่ได้ออกจากเรือนจำ) มีคนมาเยี่ยมเยอะมาก มีทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนๆ ที่อยู่ใกล้บ้านและไกลๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่มาจากในพื้นที่และจากส่วนกลาง วันนี้ (วันที่สอง) ก็มากันตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ยังไม่เปิดบ้าน มารอหน้าบ้านกันเต็มไปหมด ดีใจมาก รู้สึกมีความสุขกับครอบครัวมากตอนนี้” หะยีสะมะแอ กล่าวด้วยน้ำเสียงอิ่มเอม

เขาบอกต่อว่า ที่ได้รับการปล่อยตัว ก็ต้องขอขอบคุณ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ได้ดำเนินการปล่อยตัวก่อนกำหนด ซึ่งถือว่าเป็นการให้ของขวัญที่มีค่าที่สุดกับครอบครัว และประชาชนบางกลุ่มที่รอคอยการออกมาเพื่อร่วมพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

“ดีใจอย่างบอกไม่ถูก ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการให้สามารถออกมาได้จริง ถือเป็นการแสดงความจริงใจระดับหนึ่งของภาครัฐ หลังจากนี้ก็สามารถออกมาร่วมพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเต็มที่ และพร้อมจะสนับสนุนการพูดคุยสันติสุขภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ รู้สึกไม่ผิดหวังที่มั่นใจมาตลอดมาส่ารัฐบาลชุดนี้จะคืนความสุขให้กับครอบครัวได้”

หะยีสะมะแอ ยังกล่าวถึงการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เริ่มขึ้นแล้วทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ว่า จะไม่ขอเข้าไปเป็นตัวแทนของฝ่ายใดในการพูดคุย แต่พร้อมจะให้การสนับสนุนเต็มที่ทุกวิถีทาง แต่ขอเป็นการให้ความช่วยเหลือรอบนอกดีกว่าเข้าไปเป็นตัวแทนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

“ผมคิดว่าการเข้าไปเป็นตัวแทนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจสร้างความลำบากใจในการติดต่อสื่อสารในเรื่องของการสร้างกระบวนการสันติสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ แต่เมื่อเราเลือกช่วยเหลือรอบนอก เราสามารถทำได้เต็มที่อย่างไม่ต้องยึดติดมากว่าอยู่ฝ่ายใด เพราะเป้าหมายสำคัญและสิ่งที่ต้องการคือ ให้พื้นที่สามจังหวัดและสี่อำเภอสงขลาเกิดความสงบและสันติสุข”

หะยีสะมะแอ บอกด้วยว่า ชีวิตหลังจากนี้จะขอดูแลศูนย์นิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลา ที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จัดสร้างอาคารสถานที่เอาไว้เรียบร้อยแล้วที่ ตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ ซึ่ง นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.ได้มอบหมายให้ดูแล จึงคิดว่าจะทำให้ดีที่สุด

“หลังจากนี้จะนำผู้ประกอบการจากประเทศมาเลเซียมาร่วมลงทุนเพื่อสร้างรายได้และสร้างอาชีพให้กับคนในพื้นที่ โดยผมคงจำเป็นต้องไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับมาเลเซีย เพื่อไปติดต่อนักธุรกิจที่จะมาร่วมลงทุน และไปคุยกับเพื่อนๆ ในเรื่องของการพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุขในพื้นที่ด้วย”

ทั้งหมดนี้เป็นชีวิตในวันที่ได้อิสรภาพนอกกำแพงสูงของนักต่อสู้คนสำคัญจากปลายด้ามขวาน…หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ!

นาซือเราะ เจะฮะ สำนักข่าวอิศรา

ความคิดเห็น

comments

ใส่ความเห็น