สตีเฟน โอเบรียน รองเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายกิจการด้านมนุษยธรรม กล่าวเตือนวันอังคาร (28) ให้รัฐบาลตุรกีอย่าเพิ่งประกาศเขตกันชนที่จะจัดตั้งขึ้นทางภาคเหนือของซีเรียเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” (safe zone) จนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถปกป้องชีวิตพลเรือน ซึ่งคาดว่าจะแห่แหนกันเข้าไปหลบภัยในพื้นที่ดังกล่าว
ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดี ตอยยิบ ออร์โดกัน แห่งตุรกี ออกมาระบุว่า การประกาศ “พื้นที่ปลอดภัย” จะช่วยให้ผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 1.7 ล้านคนที่หนีไปยังตุรกีสามารถเดินทางกลับบ้านเกิดของพวกเขา
“สิ่งที่คุณไม่ควรทำก็คือการประกาศให้พื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นเขตปลอดภัย เพราะจะทำให้คนหลั่งไหลไปที่นั่น ทั้งที่ยังไม่มีมาตรการปกป้องที่ดีพอ” โอเบรียน ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน หลังกล่าวรายงานสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในซีเรียให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นได้ทราบ
“เป้าหมายสำคัญของเราคือการช่วยชีวิตพลเรือน ดังนั้นจะต้องให้มั่นใจเสียก่อนว่ามีแผนคุ้มครองพวกเขาที่ดีพอ ซึ่งก็ใช่ว่าองค์กรด้านมนุษยธรรมจะจัดการได้เสมอไป แต่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากกลุ่มอื่นๆ”
ตุรกีและสหรัฐฯ กำลังเตรียมแผนขับไล่กลุ่มติดอาวุธ ISIL ออกไปจากแนวชายแดนซีเรียฝั่งที่ติดกับตุรกี แต่เจ้าหน้าที่อเมริกันยืนยันว่า ยังไม่ถึงขั้นก่อตั้ง “เขตปลอดภัย” สำหรับพลเรือน
โอเบรียน ระบุว่า องค์การสหประชาชาติมีการติดต่อกับทุกฝ่ายเพื่อหารือข้อเสนอใหม่ๆ
กองทัพตุรกีได้ส่งเครื่องบินรบเข้าไปถล่มฐานที่มั่นไอเอสในซีเรียเป็นครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว(24) หลังจากที่เครื่องบินของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรได้ปฏิบัติภารกิจโจมตีไอเอสมานานถึง 10 เดือน
บาชาร์ จาฟารี ผู้แทนซีเรียประจำองค์การสหประชาชาติ ให้สัมภาษณ์วันอังคาร(28)ว่า “เรากำลังเผชิญท่าทีก้าวร้าวจากรัฐบาลตุรกี ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ”
ขณะที่ประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัซซาด แห่งซีเรีย ได้ประกาศก่อนหน้านี้ยอมรับว่า “อิหร่านได้ส่งผู้เชี่ยวชาญทางทหาร และพี่น้องของเราฮิซบุลลาตในเลบานอน ได้ต่อสู้ร่วมกับเราด้วย” ขัดแย้งกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะไม่ยอมให้กองกำลังต่างชาติเข้าไปในซีเรีย
ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติระบุว่า สงครามกลางเมืองได้คร่าชีวิตพลเมืองซีเรียไปแล้วราว 220,000 คน อีก 7.6 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเรือน และอีก 4 ล้านคนต้องหนีตายออกนอกประเทศ ซึ่งถือเป็นวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 25 ปี