พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวที่สุดของพม่ากล่าวอ้างถึงการไม่จำวัดนานหลายคืนในความเพียรพยายามที่จะต่อต้านชาวมุสลิมในประเทศว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยตัดสิทธิการลงคะแนนเสียงของชนกลุ่มน้อยหลายแสนคน
พระวิระธู ที่รณรงค์ต่อต้านชาวมุสลิมจนจุดชนวนความตึงเครียดทางศาสนาในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ กล่าวว่าได้ใช้ส่วนใหญ่ในตอนกลางคืนที่วัดในเมืองมัณฑะเลย์อยู่กับจอคอมพิวเตอร์เพื่อแพร่ภาพถ่ายที่เขาอ้างว่ามาจากองค์กรก่อการร้ายอิสลามที่รุนแรงที่สุดของโลกบางองค์กร
จากนั้นพระวิระธูได้โพสข้อความถึงผู้ติดตามบนเฟซบุ้ค 91,000 คน ช่วยปลุกระดมแนวคิดที่อ้างว่าศาสนาพุทธกำลังถูกคุกคาม
ชาวมุสลิมพม่า ที่มีอยู่อย่างน้อย 5% ของประชากร 51 ล้านคนในประเทศ มีประวัติศาสตร์ของการมีส่วนร่วมในสังคมมาอย่างยาว แต่คนเหล่านี้กำลังเผชิญกับการกลายเป็นคนชายขอบมากขึ้นภายใต้รัฐบาลทหารชุดปัจจุบันที่ขึ้นครองอำนาจจากการรัฐประหารรัฐบาลทหารเดิมในปี 2554
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุรุนแรงต่อต้านชาวมุสลิมขึ้นในประเทศและยังมีความวิตกว่าการแพร่กระจายถ้อยคำสร้างความเกลียดชังอาจก่อให้เกิดปัญหาเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่วประเทศกำลังมุ่งไปสู่การเลือกตั้งครั้งสำคัญในวันที่ 8 พฤศจิกายน นี้
พระวิระธู เป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรพระสงฆ์ที่ได้สอดแทรกท่าทีกร้าวร้าวเข้าสู่การเมืองกระแสหลักของประเทศ
พระรายนี้ถูกจำคุกในปี 2546 จากความผิดฐานยั่วยุปลุกปั่นสร้างความตึงเครียดทางศาสนาภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร แต่ผู้สืบทอดการปกครองในช่วงต่อมาแสดงท่าทีที่จะอนุญาตให้แนวความคิดชาตินิยมชาวพุทธได้ขยายตัวเติบโต
พระวิระธูอ้างชัยชนะสำหรับการกดดันรัฐบาลให้ผลักดันร่างกฎหมายผ่านรัฐสภา ที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่าเป็นร่างกฎหมายที่เลือกปฏิบัติต่อสตรีและชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและยังริดรอนสิทธิการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไปจากชาวมุสลิมโรฮิงญาหลายแสนคนในรัฐยะไข่
เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลพม่าได้เพิกถอนเอกสารประจำตัวชั่วคราวตามการกดดันของกลุ่มพระชาวพม่า อันเป็นความเคลื่อนไหวที่ส่งผลกระทบต่อชาวโรฮิงญานับแสน ที่นับตั้งแต่นั้นได้ถูกถอนสิทธิลงคะแนนเสียง หลังรัฐบาลห้ามบุคคลที่ไม่เป็นพลเมืองอย่างสมบูรณ์เข้าร่วมการเลือกตั้ง
ผู้สังเกตการณ์ระบุว่าทั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของอองซานซูจี และพรรครัฐบาลยินยอมต่อกลุ่มหัวรุนแรง โดยปฏิเสธที่จะเสนอผู้สมัครรับเลือกตั้งชาวมุสลิมลงแข่งขันในการเลือกตั้งที่ถูกมองว่าเป็นบททดสอบสำคัญของความคืบหน้าในระบอบประชาธิปไตย
ความเคลื่อนไหวที่เสี่ยงทำให้ชาวมุสลิมที่ไม่ใช่โรฮิงญาซึ่งเป็นผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงไร้ผู้สมัครรับเลือกตั้งชาวมุสลิมให้สนับสนุนในการเลือกตั้ง
สมาชิกอาวุโสชาวมุสลิมของพรรค NLD กล่าวกับเอเอฟพีว่า ไม่มีชาวมุสลิมอยู่ในรายชื่อผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรคกว่า 1,000 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้
“ประชาชนมองสิ่งนี้ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติทางศาสนา ชาวมุสลิมหลายคนพูดกันว่าพวกเขาจะไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง” แหล่งข่าวกล่าว
ความผิดหวังเห็นได้ชัดที่มัสยิดจูนในเมืองมัณฑะเลย์ ขิ่น หม่อง วิน ที่เป็นผู้ดูแลกล่าวว่า ผู้คนในพื้นที่สนับสนุนพรรค NLD กันมายาวนาน
“ดูเหมือนว่าชาวมุสลิมไม่เป็นที่ยอมรับเลยสักนิด ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง เราควรมีสิทธิที่จะเลือก” ขิ่น หม่อง วิน กล่าว
ชาวพุทธหัวรุนแรงได้วาดภาพผู้นำฝ่ายค้านของพม่าว่าเป็นผู้ที่เห็นอกเห็นใจชาวมุสลิม ที่น่าจะเป็นจุดอ่อนในการเลือกตั้ง
“การเปลี่ยนแปลงสิทธิเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับพม่า เป็นลางร้ายอย่างมากสำหรับชาวมุสลิมของประเทศนี้” ขิ่น ซอ วิน นักวิเคราะห์ของสถาบัน Tampadipa ในนครย่างกุ้ง กล่าว
พระวิระธูกล่าวว่าองค์กรชาวพุทธกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเฉลิมฉลองการที่ร่างกฎหมาย 4 ฉบับตราเป็นกฎหมาย ทั้งการกีดกันการแต่งงานระหว่างศาสนา ขนาดครอบครัว และการห้ามเปลี่ยนศาสนา
ความไม่เต็มใจของพรรค NLD ที่จะสนับสนุนกฎหมายเหล่านี้ถือเป็น “เครื่องหมายสีดำ” พระวิระธูกล่าวเตือนถึงความพยายามใดๆ ที่จะแก้ไขกฎหมาย
“รัฐบาลใดก็ตามที่แก้ไขกฎหมายเหล่านี้จะถูกถอดออก” พระวิระธู กล่าวพร้อมทั้งยินดีกับการเลือกตั้งที่ชาวมุสลิมไม่มีส่วนร่วม โดยระบุว่าพวกเขาไม่ต้องการชาวต่างชาติในรัฐสภา
ฉ่วย หม่อง สมาชิกสภานิติบัญญัติชาวโรฮิงญาของพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการรณรงค์ครั้งนี้ หลังจากเพิ่งถูกห้ามร่วมลงสมัครรับเลือกตั้ง
เจ้าหน้าที่การเลือกตั้งได้ตัดสิทธิเขาหลังพิจารณาว่าพ่อแม่ของเขาไม่ใช่พลเมืองของพม่า แม้ข้อเท็จจริงว่าในปัจจุบันเขานั่งเก้าอี้ในรัฐสภา และพ่อของเขามีตำแหน่งเป็นนายตำรวจอาวุโส
ชาวโรฮิงญา มักถูกสร้างภาพป้ายสีว่าเป็นผู้อพยพจากบังกลาเทศ แม้ว่าพวกเขาจะมีใช้ชีวิตอยู่ในพม่ามากอย่างยาวนานก็ตาม
คนเหล่านี้ถูกกดขี่หนักขึ้นหลังจากความพยายามก่อจราจลของกลุ่มชาวพุทธในการทำลายล้างชุมชนมุสลิมโรฮิงญาในปี 2555 ที่ทำให้ประชาชนราว 140,000 คน ต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่นชั่วคราว
ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงชาวมุสลิมในเขตเลือกตั้งเมืองบุธิด่อง รัฐยะไข่ ของฉ่วย หม่อง สูญหายไปจาก 150,000 คนในปี 2553 เหลือเพียง 10 คน หลังการเพิกถอนเอกสารประจำตัวชั่วคราวและจำกัดสิทธิการลงคะแนนเสียง
“หากประชาชนไม่สามารถลงคะแนนเสียงได้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะมีประโยชน์อะไร หากผู้สมัครรับเลือกตั้งถูกปฏิเสธ ประชาชนจะลงคะแนนเสียงให้ใคร” ฉ่วย หม่อง กล่าว