นายนิพิฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตผู้บริหารบริษัท ปตท. กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด(PTTGE) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ตนเองถูกบริษัทปตท.จำกัด(มหาชน) และบริษัท PTTGE ฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง ในคดีการลงทุนธุรกิจโครงการน้ำมันปาล์มในประเทศอินโดนีเซีย โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนกว่า 2 หมื่นล้านบาทนั้น ตนได้ยื่นคำร้องสอดเพื่อเรียกบุคคลภายนอกผู้ที่กระทำผิดและก่อให้เกิดความเสียหายที่แท้จริงเข้ามารับผิดเป็นจำเลยร่วมในคดี ทั้งหมด 7 คน เป็นอดีตผู้บริหาร 2 คน และยังอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารปัจจุบัน 5 คน ซึ่งเรื่องทั้งหมดอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
“ทั้งหมดนี้ร่วมกันทำเป็นกระบวนการ และก่อให้เกิดความเสียหายต่างๆมากมาย มีการจงใจปล่อยปละละเลยไม่ต่อใบอนุญาตในการดำเนินธุรกิจน้ำมันปาล์ม ทั้งที่หน่วยงานราชการท้องถิ่นของประเทศอินโดนีเซียได้มีหนังสือทวงถามให้ดำเนินการต่อใบอนุญาตในการทำธุรกิจปลูกปาล์ม เป็นเหตุให้รัฐบาลอินโดนีเซียยึดที่ดินกลับคืนเป็นของรัฐ มากกว่า 66,000 ไร่” นายนิพิฐ กล่าว
และว่า นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตคอรัปชั่น สมคบคิดกันสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับ บริษัท ปตท.และบริษัท PTTGE โดยการขายที่ดินและทรัพย์สินของบริษัท PT.MAR ต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก ทั้งที่มีบริษัทอินโดนีเซีย และบริษัทต่างชาติให้ความสนใจติดต่อขอซื้อโดยตรงในราคา 85 ล้านเหรีญสหรัฐ หรือประมาณ 2,760 ล้านบาท แต่กลับเอื้อประโยชน์และรีบเร่งขายให้กับพวกพ้องในราคาต่ำกว่าราคาตลาดในราคา 35 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท และนอกจากบริษัท PT.MAR แล้วยังมีที่ดินแปลงอื่นๆทุกแปลงทุกโครงการขายต่ำกว่าท้องตลาดทั้งสิ้น โดยไม่มีการประมูล เพื่อหนีการตรวจสอบจากป.ป.ช.และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
นายนิพิฐ กล่าวต่อว่า ได้ปรากฏหลักฐานตามรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงการดำเนินงานของบริษัท PT.KPI ฉบับลงวันที่ 2 เมษายน 2556 โดยบริษัท Mckinsey & Company สรุปผลการดำเนินงานของบริษัท PT.KPI ประสบความล้มเหลวในการบริหารกิจการในธุรกิจน้ำมันปาล์ม โดยมีข้อบกพร่องมากมาย ที่ชี้ชัดถึงความไม่โปร่งใส อาทิ มีการซื้อปุ๋ยในราคาแพงกว่าราคาตามท้องตลาดถึง 9 เท่า ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่ามาตรฐาน อีกทั้ง กลุ่มบุคคลดังกล่าวพยายามจะล้มเลิกโครงการปลูกปาล์มน้ำมันอินโดนีเซียโดยอ้างว่าไม่น่าจะทำกำไรให้กับบริษัทปตท. และบริษัท PTTGE แต่แทนที่จะยุติทุกโครงการโดยทันที หรือยกเลิกสัญญาที่ตนเคยได้ทำไว้ กลับลงทุนเพิ่มเติมเป็นเงินจำนวนมาก ทำให้บริษัทได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก
“ส่วนกรณีการเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนั้น ศาลได้ยกคำร้องเนื่องจาก ในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าเป็นผู้กระทำความผิดและก่อให้เกิดความเสียหาย หากต่อมาในระหว่างการพิจารณาคดี ถ้ามีข้อเท็จจริงพยานหลักฐานปรากฏต่อศาลว่ามีการกระทำความผิดและก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น ศาลสามารถเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีได้ หรือว่าคู่ความยื่นคำร้องขอต่อศาลเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีก็ได้ ซึงผมมีความมั่นใจอย่างมากหลังจากเริ่มต้นสืบพยานในชั้นศาล เมื่อศาลได้เห็นพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงแล้ว ศาลจะต้องเรียกตัวผู้บริหารชุดนี้มาเป็นจำเลยร่วมอย่างแน่นอน”
นายนิพิฐ ยังกล่าวด้วยว่า การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเรียกบุคคลภายนอกผู้ที่กระทำความผิดและก่อให้เกิดความเสียหายที่แท้จริงเข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนั้น เป็นประโยชน์ต่อบริษัทปตท.และบริษัท PTTGE ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจะพิจารณาคำร้องของผู้ร้องฝ่ายเดียว แต่ปรากฏว่าทนายความของโจทก์ ซึ่งเป็นทนายความของบริษัทปตท.และบริษัท PTTGE ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน แทนที่จะทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของโจทก์ กลับดูแลปกป้องผลประโยชน์กลุ่มบุคคลที่สร้างความเสียหายให้บริษัท
“ผมฝากถามไปยังนายเทวินทร์ วงศ์วานิชในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปตท.คนใหม่ ว่า ท่านได้รับรู้หรือไม่ว่ามีการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของทนายความ หรือว่าท่านเป็นผู้ออกคำสั่งหรืออนุญาตให้ดำเนินการ สรุปแล้วทนายความทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของโจทก์ ซึ่งก็คือบริษัทปตท.และบริษัท PTTGE หรือรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลใดกันแน่”
ทั้งนี้ นายนิพิฐ ยังยืนยันว่า ที่ผ่านมา ตนไม่เคยได้รับความเป็นธรรมจากผู้มีอำนาจในบริษัทปตท.เลย อีกทั้ง ยังถูกกลั่นแกล้ง เนื่องจากการบริหารงานในบริษัท PTTGE นั้นมีระยะเวลาการดำเนินการทั้งหมด 8 ปี มีกรรมการผู้จัดการถึง 4 คน ตน เป็นเพียงแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น แต่ในคดีแพ่งนี้กลับเลือกปฏิบัติฟ้องตนเพียงคนเดียว
“ผมจะดำเนินการฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งขบวนการไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือกลุ่มบุคคลที่ทำให้บริษัทปตท.และบริษัท PTTGE เสียหาย อนุกรรมการป.ป.ช.บางคน และบุคคลภายนอกบางคนซึ่งเดินสายให้การช่วยเหลือกลุ่มบุคคลเหล่านี้เพื่อไม่ต้องได้รับโทษ โดยจะฟ้องเป็นคดีแพ่ง และคดีอาญา กับขบวนการดังที่กล่าวมานี้โดยเร็วต่อไป”นายนิพิฐ กล่าวในที่สุด