ไต้ฝุ่นคอปปุได้พังบ้านหลายหลัง หักโค่นต้นไม้ ก่อให้เกิดดินถล่มและน้ำท่วมไปทั่วพื้นที่ทางภาคเหนือของฟิลิปปินส์ในวันอาทิตย์ (18 ต.ค.) ทำให้ผู้คนนับหมื่นต้องอพยพหนีภัยเพื่อเอาตัวรอด รวมถึงมีคนเสียชีวิตแล้ว 1 ราย
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ด้วยอิทธิพลของไต้ฝุ่นคอปปุ ทำให้มีต้นไม้ใหญ่หักโค่นลงมาทับบ้านหลังหนึ่งในมะนิลา ส่งผลให้เด็กชายวัย 14 ปีเสียชีวิต พร้อมกับมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 4 รายในบ้านหลังนั้น
มีรายงานผู้สูญหายอย่างน้อย 8 ราย ส่วนปฏิบัติการกู้ภัยนั้นกำลังดำเนินการอยู่ในจังหวัดที่เป็นแหล่งปลูกข้าวอย่าง นูเอวา เอซิจา ซึ่งที่นั่นแม่น้ำหลายสายมีน้ำล้นตลิ่ง หลายหมู่บ้านถูกน้ำท่วม
“ผู้คนขอความช่วยเหลือเพราะระดับน้ำกำลังสูงขึ้น ตอนนี้หน่วยกู้ภัยยังเข้าไปในพื้นที่ไม่ได้” ไนเจล ลอนตอก ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายป้องกันพลเรือนประจำพื้นที่บอกเอเอฟพี
ภาพทางโทรทัศน์แสดงให้เห็นถึงกระแสน้ำสีน้ำตาลที่เชี่ยวกรากของแม่น้ำหลายสาย กำลังกลืนกินบ้านเรือนและพัดเอาซากต่างๆ ให้ลอยไปกับน้ำ ซึ่งรวมถึงขอนไม้ขนาดใหญ่ด้วย
เครือข่ายโทรทัศน์ เอบีเอส-ซีบีเอ็น ได้ออกอากาศภาพตำรวจกู้ภัยในชุดสีน้ำเงินกำลังเกาะเชือกลุยน้ำที่สูงระดับอก เพื่อไปช่วยชาวบ้านที่ติดค้างอยู่ตามสถานที่ต่างๆ
รัฐบาลฟิลิปปินส์ระบุว่า มีผู้คนมากกว่า 23,000 รายถูกอพยพออกจากเส้นทางผ่านของไต้ฝุ่นคอปปุแล้ว
เจ้าหน้าที่คาดว่าจะมีจำนวนผู้อพยพเพิ่มขึ้นอีกขณะไต้ฝุ่นเดินทางไปลูซอนที่อยู่ปลายสุดทางเหนือ ซึ่งเป็นเกาะใหญ่สุดของฟิลิปปินส์และเป็นที่อยู่อาศัยของคนครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด 100 ล้านคนของฟิลิปปินส์
คอปปุได้ขึ้นฝั่งช่วงก่อนรุ่งสางที่คาสิกูรัน เมืองชาวประมงแสนห่างไกล สร้างความเสียหายให้บริเวณชายฝั่งด้วยความเร็วลม 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่อย่างนั้นนานเกือบ 7 ชั่วโมงก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ดินแดนด้านใน
“คอปปุได้ทำลายหลังคาบ้านหลายหลังที่ทำจากวัสดุเบา แม่น้ำเอ่อล้น ถนนหลายสายที่มุ่งไปยังพื้นที่นั้นถูกตัดขาด โค่นเสาไฟฟ้าและต้นไม้” เจ้าหน้าที่กล่าว
ไต้ฝุ่นคอปปุที่อ่อนกำลังลงในเวลาต่อมา ได้เคลื่อนที่ผ่านเขื่อนพันตาบันกัน บริเวณเนินทางใต้ของ “คอร์ดิลเลรา” เทือกเขาที่ใหญ่สุดของประเทศ ด้วยความเร็วลม 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“บางหมู่บ้านไม่สามารถเข้าถึงได้ ผมได้รับแจ้งว่าหน่วยกู้ภัยพบเห็นร่างคน 2 ร่างลอยอยู่ในน้ำ” ออเรลิโอ อูมาลี ผู้ว่าฯ จังหวัดนูเอวา เอซิจา บอกเอบีเอส-ซีบีเอ็น
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ที่เมืองบาเลอร์ เมืองท่องเที่ยวแถบชายฝั่งใกล้คาสิกูรัน มีผู้สูญหาย 3 ราย หลังเกิดคลื่นยักษ์ซัดเข้าใส่บ้านของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีชาวประมงสูญหายอีก 3 รายที่อ่าวมะนิลา
แม้ไต้ฝุ่นจะอ่อนกำลังลง แต่ทางการก็เตือนให้ระวังฝนตกหนักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในบริเวณเทือกเขาคอร์ดิลเลรา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะแหล่งปลูกข้าวแบบขั้นบันได
“ผมต้องเน้นย้ำว่านี่มันยังเป็นแค่การเริ่มต้น ผู้คนต้องตื่นตัวเข้าไว้ในระหว่างที่เรากำลังเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบ” อเล็กซานเดอร์ ปามา ประธานสภาบริหารจัดการลดความเสี่ยงด้านภัยพิบัติแห่งชาติ บอกกับนักข่าวในกรุงมะนิลา
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ฝนจากพื้นที่ภูเขาจะเป็นภัยต่อเขตพื้นที่ลูซอนซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงมะนิลาด้วยในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า แม้ว่าแถบนั้นจะไม่โดนไต้ฝุ่นโดยตรง
ด้วยปริมาณน้ำในเขื่อนที่เต็ม ทำให้ต้องมีการปล่อยน้ำออกมาสู่แม่น้ำปัมปังกา ซึ่งเป็นทางน้ำหลักที่จะไหลสู่พื้นที่ดังกล่าว ก่อนจะไปถึงอ่าวมะนิลา
หน่วยงานอุตุนิยมวิทยาระบุว่า ไต้ฝุ่นคอปปุจะอ่อนกำลังลงมาเป็นพายุโซนร้อนในวันอังคาร แต่จะยังคงก่อให้เกิดฝนตกอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะมุ่งหน้าสู่ได้หวันในวันพุธ
คอปปุทำให้ไฟฟ้าและการสื่อสารในลูซอนถูกตัดขาด สะพานและถนนหลายสายถูกปิดกั้นด้วยดินถล่ม น้ำท่วม หรือแม้กระทั่งเาสไฟฟ้าและต้นไม้ที่หักโค่นลงมาขวาง
ผู้คนหลายพันต้องติดค้างเพราะบริการเรือเฟอร์รีถูกระงับ เนื่องจากท้องทะเลไม่สงบ ขณะที่เที่ยวบินพาณิชย์หลายสิบลำก็ถูกยกเลิกเช่นกัน
ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับพายุโดยเฉลี่ยแล้ว 20 ลูกต่อปี ซึ่งมีหลายลูกที่รุนแรงมาก
ก่อนหน้านี้ ซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนที่รุนแรงและเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ ได้ทำลายหลายเมืองในบริเวณเกาะทางตอนกลางเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2013 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายมากกว่า 7,350 ราย
ขอบคุณ ASTV