ศาลฎีกาชี้ชุมนุมปกป้องชุมชนโดยสงบไม่ผิดกฎหมาย รัฐไม่มีสิทธิขัดขวาง

ทนายความฝ่ายจำเลยคดีตำรวจฟ้องชาวบ้านเหตุสลายการชุมนุมคัดค้านท่อก๊าซไทย-มาเลย์ เผยคำตัดสินของศาลเป็นไปตามหลักนิติธรรม ด้านผู้ตกเป็นจำเลยเผยศาลระบุชัดชาวบ้านค้านโครงการใหญ่ปกป้องทรัพยากรชุมชนไม่ผิดกฎหมาย ตำรวจไม่มีสิทธิขวาง “บรรจง นะแส” ลั่นหากชุมชนมีเหตุผลเพียงพอ คัดค้านได้ทุกโครงการ

วันนี้ (21 ต.ค.) ผู้สื่อข่าว ASTV รายงานว่า นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความของชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย เปิดเผยต่อ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” กรณีศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยทั้ง 23 คน ที่ถูกตำรวจฟ้องร้องกรณีสลายการชุมนุมยื่นหนังสือคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ณ หน้าโรงแรมเจบี หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2545 ว่า การตัดสินของศาลฎีกาวันนี้ถือว่าคำพิพากษาของศาลเป็นไปตามหลักนิติธรรมตามข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย

“ศาลระบุว่า การชุมนุมของชาวบ้านเป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธตำรวจไม่มีสิทธิที่จะใช้กำลังในการเข้าสลายการชุมนุม หรือขัดขวางการชุมนุม การชุมนุมของชาวบ้านเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ส่วนเรื่องที่ตำรวจบอกว่า ชาวบ้านใช้คันธงเป็นอาวุธนั้นประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น และศาลสั่งให้คืนกลับให้แก่ชาวบ้านด้วย”

นายรัษฎา กล่าวและว่า เกี่ยวกับคดีนี้ทางกลุ่มชาวบ้านได้มีการฟ้องร้องในทางแพ่งไว้ด้วย 1 คดีและฟ้องในทางอาญาอีก 1 คดี ในส่วนของคดีแพ่ง ได้มีการสืบพยานไว้แล้วแต่รอคำตัดสินของศาลฎีกาในวันนี้ซึ่งจะใช้ประกอบในการพิจารณาคดีของศาลด้วย

“ส่วนคดีอาญาที่ชาวบ้านฟ้อง พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร.กับพวก ศาลจะอ่านคำตัดสินในวันที่ 27 พ.ย.2558 นี้”

นายสุไลมาน หมัดยูโซะ ชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซและโรงแยกก๊าซไทย-มาเลเซีย ที่ตกเป็นจำเลยร่วมกับชาวบ้านคนอื่นๆ รวม 23 คน เปิดเผยว่า รู้สึกดีใจมากที่คำตัดสินของศาลออกมาในลักษณะนี้ โดยเฉพาะในประเด็นที่ศาลบอกว่า การต่อสู้ปกป้องทรัพยากรชุมชนของชาวบ้านในเครือข่ายฯ นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลเห็นชัดเจนว่าชาวบ้านลุกขึ้นมาชุมนุมเพื่อต้องการปกป้องถิ่นฐานบ้านเกิด การกระทำของเจ้าหน้าที่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

“คำตัดสินนี้จะเป็นบรรทัดฐานต่อการชุมนุมเพื่อปกป้องสิทธิตามรัฐธรรมนูญของชาวบ้านต่อไปที่ไม่เห็นด้วยต่อโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ ผมดีใจมากครับ” นายสุไลมาน กล่าว

ด้านนายบรรจง นะแส นายกสมาคมรักษ์ทะเลไทย ที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ด้วย เปิดเผยว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่ตำรวจฟ้องประชาชนครั้งนี้มีความสำคัญมาก เพราะที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้พี่น้องประชาชนต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ในหลายเรื่องทั่วประเทศ ทั้งเหนือ อีสาน กลาง ใต้ ซึ่งได้ถูกเจ้าหน้าที่รัฐขัดขวางมาอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้ศาลฎีกาตัดสินแล้วว่าการปกป้องถิ่นฐานทรัพยากรของชุมชนที่เป็นการชุมนุมอย่างสงบเป็นเรื่องถูกต้องเจ้าหน้าที่รัฐจะขัดขวางไม่ได้

“ประเด็นต่อมาที่สำคัญมากคือ ชุมชนแต่ละแห่งที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตนเองจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐจะต้องมีเหตุผล และสามารถอธิบายเหตุผลนั้นได้อย่างมีน้ำหนัก เป็นไปตามกฎหมายซึ่งเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า กระบวนการยุติธรรมจะยินข้างประชาชนหากการชุมนุมนั้นเป็นไปตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญ”

นายบรรจง กล่าวและว่า อีกประเด็นที่สำคัญคือ ขณะนี้และในอนาคตข้างหน้านี้ประชาชนในหลายชุมชนจะต้องเผชิญต่อโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐภายใต้แผนนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทั้งท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน หรือเหมืองทองคำต่างๆ นั้น คำตัดสินของศาลฎีกาในวันนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้เห็นว่า ประชาชนมีสิทธิที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้คัดค้านโครงการเหล่านั้นได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ชาวบ้านเครือข่ายคัดค้านโครงการท่อส่งก๊าซฯ 23 คน ถูกเจ้าหน้าที่ฟ้องร้องกล่าวหาว่ากระทำความผิดจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมหลายข้อหา แต่ศาลชั้นต้น และชั้นอุทธรณ์ได้พิพากษาให้จำเลยทุกคนไม่มีความผิด สอดคล้องต่อคำตัดสินของศาลปกครอง ที่พิพากษาว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนอย่างรุนแรง

ความคิดเห็น

comments