OIC ประณามอิหร่าน “หนุนก่อการร้าย-แยกนิกายในศาสนา”

OIC เปิดประชุมวิสามัญเห็นพ้องประณามการกระทำของอิหร่าน หนุนก่อการร้าย ส่งกองกำลังนับแสนคุกคามประประเทศเพื่อนบ้าน และแทรกแซงกิจการภายใต้ชาติสมาชิก

อาหรับนิวส์รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่(21)ผ่านมา องค์กรที่ประชุมอิสลามหรือ Organization of Islamic Cooperation (OIC) ได้จัดประชุมสมัยวิสามัญระดับรัฐมนตรี โดยสมาชิกเห็นพ้องในพฤติกรรมของอิหร่านในการสนับสนุนการก่อการร้าย และการเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกในอิสลาม

รัฐมนตรีต่างประเทศของ OIC ได้กล่าวถึงกรณีที่อิหร่านปล่อยให้มีการโจมตีสถานทูตซาอุดิอาระเบียในกรุงเตหะราน และสถานกงศุลในเมือง Mashhad และการแทรกแซงกิจการภายในของ ซาอุดิอาระเบีย, บะห์เรน, เยเมน และซีเรีย รวมถึงการสนับสนุนการก่อการร้าย

รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนจากชาติสมาชิก 45 ประเทศ จากสมาชิดทั้งหมด 56 ประเทศ ได้ร่วมประชุมสมัยวิสามัญกันกว่า 4 ชั่วโมง ตามการร้องขอของซาอุดิอาระเบีย ต่อการกระทำของอิหร่านในการบ่อนทำลายความสงบสุขของชาติอาหรับ และชาติมุสลิม

โดยแถลงการณ์ร่วมที่ออกหลังการประชุมระบุว่า การที่อิหร่านคุกคามสถานที่ทางการทูตของซาอุดิอาระเบียในประเทศอิหร่านถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเวียนนา ว่าด้วยการทูต ในปี 1961

“การกระทำนี้ขัดต่อกฎบัตรของ OIC ที่เรียกร้องให้มีการส่งเสริมความไว้วางใจ และสนับสนุนให้เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรซึ่งกันและกัน รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิ โดยปราศจากการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก” แถลงการระบุ

แถลงการยังได้ระบุถึงการประหารชีวิตของ Nimr Al-Nimr แกนนำกลุ่มกบฎชีอะห์ในซาอุดิอาระเบียในความผิดฐานก่อการร้าย แต่อิหร่านบิดเบือนข้อเท็จจริงและนำมาใช้เป็นเงื่อนไขในกระปลุกระดมมวลชน

“การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่เห็นได้ชัดว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของซาอุดิอาระเบีย และฝ่าฝืนกฎบัตรแห่งสหประชาชาติที่ OIC เป็นสมาชิกอยู่ และพันธสัญญาระหว่างประเทศที่เรียกร้องให้ไม่มีการแทรกแซงกิจการภายในของชาติสมาชิก” แถลงการระบุ

OIC ประณามการดำเนินการของอิหร่านในการแทรกแซงกิจการภายในของบะห์เรน, เยเมน, ซีเรีย และการสนับสนุนการก่อการร้าย นอกจากนี้ยังประณามการประชุมเพื่อแบ่งแยกระหว่างนิกายที่อิหร่านเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติสมาชิก

OIC เรียกร้องให้ชาติสมาชิก และประชาคมระหว่างประเทศ ให้มีการดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเกิดการโจมตีสถานทูตของชาติสมาชิกขึ้นอีกเหมือนกับที่อิหร่านปล่อยให้เกิดขึ้นกับสถานทูต และสถานกงศุล ซาอุดิอาระเบีย

นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้ประณามการลักพาตัว Qataris ในอิรัก ระบุว่าเป็นการกระทำที่ชั่วร้าย พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลอิรักแสดงความรับผิดชอบตามกฎหมายระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้รัฐบาลอิรักช่วยเหลือ Qataris ออกจากกลุ่มผู้ลักพาตัว

ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดิอาระเบีย Adel Al-Jubeir กล่าวในที่ประชุมว่า อิหร่านได้พยายามในการแพร่กระจาย และปลุกระดมให้เกิดการสับสนวุ่นวาย เช่นเดียวกับการปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้งในภูมิภาค “อิหร่านเป็นต้นเหตุหลักของความขัดแย้ง และสงครามที่เกิดขึ้นในภูมิภาคของเรา” เขากล่าว

“อิหร่านเป็นประเทศสมาชิกที่ไม่เคารพกฎบัตรขององค์กรและหลักการของเรา อิหร่านประกาศอย่างภาคภูมิใจว่ามันควบคุมสี่เมืองหลวงอาหรับและมีกองกำลังติดอาวุธ 200,000 คนที่ผ่านการฝึกอบรมและกระจายตัวอยู่ในหลายประเทศในภูมิภาค นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนของนโยบายการยั่วยุของอิหร่านที่มีต่อเพื่อนบ้านและภูมิภาคอาหรับ ”

“สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เป็นการกระทำในภาระกิจที่ต่อเนื่องยาวนาน 35 ปีของอิหร่าน” เขากล่าวอีกว่ามันเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลเจ้าของพื้นที่ในการโจมตีสถานทูตซาอุดิอาระเบีย

ซาอุดิอาระเบียได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูต และการค้าทั้งหมดกับอิหร่าน ขณะเดียวกันประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอ่าวหารับได้มีการลดระดับความสัมพันธืกับอิหร่าน และประณามอิหร่านต่อเหตุการโจมตีสถานทูตซาอุดิอาระเบีย

ด้านนาย Abbas Araqchi ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านที่เข้าร่วมประชุมได้กล่าวว่า “เราไม่ต้องการความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น และมันเป็นความปราถนาของเราที่จะเห็นการประชุมนี้ช่วยลดความตึงเครียดที่เกิดขึ้น”

ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศจากชาติต่างๆ รวมทั้งซาอุดิอาระเบีย ได้ตอบโตคำกล่าวอ้างดังกล่าวพร้อมระบุว่า อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อความไม่สงบ และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาค

ความคิดเห็น

comments