สองบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในอิหร่านแสดงวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจสวนทางกันในการปราศรัยเนื่องในวันปีใหม่ของอิหร่านในวันอาทิตย์ (20 มีนาคม) โดยผู้นำสูงสุด นายอาลี คาเมเนอี เรียกร้องให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ส่วนประธานาธิบดี ฮัซซัน โรฮานี เรียกร้องให้ร่วมมือกับนานาชาติ
ในการปราศรัยวันโนวรุซ คาเมเนอีและโรฮานีมองย้อนถึงปีที่ผ่านมา ซึ่งได้เห็นการคว่ำบาตรอิหร่านถูกยกเลิกภายใต้ข้อตกลงนิวเคลียร์กับเหล่ามหาอำนาจโลก และเห็นพ้องกันว่า เศรษฐกิจควรเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในปีใหม่นี้ของอิหร่าน
แต่ในขณะที่โรฮานีกล่าวว่า การเชื่อมโยงกับประเทศอื่นๆ มากขึ้นคือกุญแจของการเติบโตทางเศรษฐกิจ คาเมนาอียังคงยืนยันในแนวคิด “เศรษฐกิจต้านทาน” ที่ให้ความสำคัญกับการพึ่งพาตนเอง
ข้อความที่ขัดแย้งกันนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้นำ 2 คนนี้ ซึ่งต่างเห็นด้วยกับหลักการของสาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ แต่มีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องที่ว่าประเทศนี้ควรเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกและโดยเฉพาะกับชาติมหาอำนาจอย่างไร
“ผมแน่ใจว่าด้วยความร่วมมือและความพยายามภายในประเทศ รวมถึงการเชื่อมต่อกับโลกในเชิงสร้างสรรค์ เศรษฐกิจของเราจะสามารถเบ่งบานและพัฒนาได้” โรฮานี กล่าวในวันแรกของปี 1395 ของปฏิทินอิหร่าน
คาเมเนอีประกาศให้ปี 1395 เป็นปีแห่ง “เศรษฐกิจต้านทาน การลงมือและการทำให้เกิดผล” และกล่าวว่า อิหร่านควรใช้มาตรการเพื่อลดความเสี่ยงในการตกเป็นเป้าหมายของศัตรู” ซึ่งหมายถึงสหรัฐฯและเหล่าพันธมิตร
แกนนำชีอะห์วัย 76 ปีรายนี่ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในอิหร่านเตือนเสมอมาว่าอย่าปล่อยให้อิทธิพลตะวันตกรูปแบบใดก็ตามเข้าสู่สาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้ และเมื่อไม่นานมานี้ได้กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศนี้ไม่ได้ได้รับประโยชน์จากการที่คณะผู้แทนด้านธุรกิจของตะวันตกหลั่งไหลสู่เตหะราน
โรฮานีซึ่งบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำให้ได้เห็นการคว่ำบาตรถูกยกเลิกเมื่อเดือนมกราคม กล่าวว่า ธุรกิจจากทุกประเทศเป็นที่ต้อนรับของตลาดตราบใดที่พวกเขาจ้างแรงงานชาวอิหร่านและนำการพัฒนาทางเศรษฐกิจมาสู่ประเทศนี้
พันธมิตรของโรฮานีได้รับที่นั่งในรัฐสภาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในการเลือกตั้งเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งอาจช่วยเขาให้ผ่านการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ออกแบบมาเพื่อต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ แต่คาเมเนอีและสภาผู้พิทักษ์ (Guardian Council) มีอำนาจวีโตเหนือการออกกฎหมายทั้งมวลจากรัฐบาลอิหร่าน