เผยรายงานพบปรากฎการณ์ต่อต้านมุสลิมรูปแบบใหม่หลังกลุ่มธุรกิจในอเมริกาลงขันกว่า 7.2 พันล้านบาท ตั้งกองทุนต่อต้านอิสลาม โดยมีพรรคการเมืองใหญ่เป็นผู้นำเงินนี้ไปใช้ตามวัตถุประสงค์
สำนักข่าว World Bulletin เผยรายงานที่ถูกเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ที่(20 มิถุนายน)ผ่านมา ระบุว่า เงินมูลค่ากว่า 206 ล้านเหรียญสหรัฐ (7,210 ล้านบาท) ได้หลังไหลเข้ามาสู่องค์กรที่ส่งเสริมความเกลียดชังอิสลามในสหรัฐอเมริกาในระหว่างปี 2008-2013 ที่ผ่านมา
รายงานที่เปิดเผยโดยสภาความสัมพันธ์อเมริกันอิสลาม (CAIR) และศูนย์ความเท่าเทียม และความเสมือภาคทางเพศ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ แสดงให้เห็นว่าองค์กร 33 แห่งที่ต่อต้านศาสนาอิสลามมีการระดบทุนสนับสนุนอย่างน้อย 205,838,077 เหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในการ “ส่งเสริมการมีอคติ ต่อต้านและความเกลียดชังต่อศาสนาอิสลามและชาวมุสลิม”
กลุ่มดังกล่าวรวมถึง กองทุนการเงิน Abstraction, โครงการ Clarion Projects, ศูนย์ส่งเสริมเสรีภาพ David Horowitz, ตะวันออกกลางฟอรั่ม, ศูนย์กฎหมายเมื่อเสรีภาพ และนโยบายความปลอดภัยอเมริกาด้วย
นอกจากนี้เอกสารยังเผยให้เห็นว่ามีการใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวในการผ่านร่างกฎหมายต่อต้านอิสลามใน 10 รัฐ ขณะที่อีก 81 รายการถูกใช้จ่ายระหว่างปี 2013-2015 โดยเกือบทั้งหมดของเงินดังกล่าวถูกใช้ผ่านทางผู้แทนของรีพับลิกัน
โดยในปี 2015 รายงานยังพบว่ามี 78 หตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีการกำหนดเป้าหมายที่ชาวชาวมุสลิม ขณะที่ในปี 2013 มีเหตุเกิดขึ้นเพียง 22 ครั้ง และ 20 ครั้งในปี 2014
“ทั้งนี้ในเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมของปี 2015 มีเหตุการณ์โจมตีมัสยิด 17 ครั้ง ในแต่ละเดือน ถือเป็นจำนวนเท่ากับจำนวนเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นตลอดปีในช่วงสองปีก่อนหน้านี้” รายงานระบุ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในกรุงปารีสของฝรั่งเศส และเหตุกราดยิงที่ ซานเบอนาดิโน แคลิฟอร์เนีย
นอกจากนี้รายงานยังพบว่าปรากฏการณ์ต่อต้านมุสลิมในรูปแบบใหม่ของสหรัฐเกิดขึ้นในรูปแบบ “ธุรกิจที่ปลอดจากมุสลิม” และ “การติดอาวุธเพื่อต่อต้านศาสนาอิสลาม”
สอดคล้องกับรายงานหลายรายการที่พบว่าประท้วงต่อต้านศาสนาอิสลามในหลายพื้นที่มีผู้ร่วมประท้วงหลายคนเข้าร่วมการประท้วงโดยมีการพกปืนเข้าร่วมด้วย โดยเฉพาะการประท้วงเพื่อปลุกกระแสต่อต้านอิสลามแต่ประสบความล้มเหลวทั้งสองครั้งที่เมืองการ์แลนด์ รัฐเท็กซัส
นอกจากนี้รายงานยังเผยอีกตั้งแต่ปี 2014 บางธุรกิจในอาร์คันซอ, ฟลอริดา, เคนตั๊กกี้, นิวยอร์ก, โอคลาโฮมาและมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ได้ประกาศต่อสาธารณชนว่าพวกเขาได้เข้าร่วมกับกลุ่ม “ธุรกิจปลอดจากมุสลิม” แม้จะมีกฎหมายที่ห้ามการกระทำดังกล่าวก็ตาม
มีการตั้งข้อสังเกตุถึงความคืบหน้าในการดำเนินการของกลุ่มดังกล่าวว่า “มีความถี่ในการก่อเหตุลดลง และการยอมรับของการต่อต้านศาสนาอิสลาม รวมถึงการฝึกอบรมในการบังคับใช้กฎหมาย”
Corey Saylor ผู้อำนวยการแคร์ และผู้เขียนรายงานการตรวจสอบกระแสต่อต้านอิสลามกล่าวว่า “การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2016 ได้ยกประเด็นการต่อต้านอิสลามมาเป็นประเด็นหลัก ส่งผลให้มีข้อเสนอให้มีการกำหนดในกฎหมายให้ชัดเจนในการพุ่งเป้ามาที่มุสลิม”
ดร.Hatem Bazian ผู้เขียนรายงานร่วม ผู้อำนวยการวิจัย Islamophobia ความเท่าเทียม และความเสมือภาคทางเพศ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์กล่าวในแถลงการณ์ว่า “มีความจำเป็นสำหรับการชุมชนทั่วประเทศ ที่เพิ่มการมีส่วนร่วมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย” ในด้านการกำหนดนโยบาย, การศึกษา, ผู้นำภาคประชาสังคมและสื่อ
“การศึกษาและการวิจัยเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการยกระดับ และนำซึ่งการเปลี่ยนแปลงความยุติธรรมทางสังคม และรายงานนี้เป็นขั้นตอนในทิศทางนั้น” Bazian กล่าวว่า