ม็อบชาวพุทธพร้อมอาวุธได้บุกเข้ารื้อค้น ปล้นสดมภ์มัสยิดแห่งหนึ่ง ทางตอนเหนือของพม่าก่อนจุดไฟเผา นับเป็นมัสยิดหลังที่ 2 ในพม่าที่ถูกกลุ่มหัวรุนแรงบุกเผาในช่วงของเดือนรอมฎอน โดยที่รัฐบาลของนางซูจียังไม่ยอมดำเนินการในการจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีแต่อย่างใด
the Global New Light of Myanmar รายงานว่า กลุ่มหัวรุนแรงชาวพุทธที่อาศัยอยู่ในเมือง Hpakant(ผากัน) รัฐคะฉิ่น ได้บุกเข้ารื้อค้น ปล้นสดมภ์มัสยิดเมื่อวันศุกร์ “โดยมีมีด ไม้ และอาวุธอื่นๆ เป็นอาวุธ” ก่อนที่จะจุดไฟเผา
รายงานระบุว่า “กลุ่มม็อบหัวรุนแรงที่เต็มไปด้วยความเกรียวกราด ได้บุกเข้าทำลายอาคารมัสยิด”
การโจมตีเกิดขึ้นหลังการอ้างข้อพิพาทเรื่องการก่อสร้างมัสยิด ตามรายงานยังระบุว่าตำรวจไม่ได้ดำเนินการกับกลุ่มหัวรุนแรง หรือจับกุมผู้ก่อเหตุเผาทำลายมัสยิดแต่อย่างใด
นี่เป็นครั้งที่สองของการโจมตีที่มีขึ้นต่อมัสยิดในช่วงเดือนรอมฎอน โดยการโจมตีเกิดขึ้นห่างกันไม่ถึงสัปดาห์ โดยที่ชุมชมมุสลิมที่ถูกโจมตีไม่ใช่ชาวโรฮิงญาแต่อย่างใด
การบุกเผาทำมัสยิดล่าสุดเกิดขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้สำนักข่าว Anadolu รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถูกส่งมารักษาความปลอดภัยหมู่บ้านในภาคเหนือของรัฐคะฉิ่นของพม่าหลังจากที่งชาวมุสลิมปฏิเสธที่จะรื้อถอนมัสยิด แม้จะมีแรงกดดันจากกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงชาวพม่า
โดยองค์กรหัวรุนแรงกลุ่มมะบะทาที่มีอิทธิพลในการปกครองท้องถิ่นมีคำสั่งเมื่อ 20 มิถุนายนให้ประชาชนชาวมุสลิมในหมู่บ้าน Le Pyin ในเมือง Hpakant(ผากัน) จะใช้งานมัสยิดได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายนนี้เท่านั้นจากนั้นจะต้องรื้อมัน
เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจท้องถิ่นที่ขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พูดคุยกับสื่อบอกกับ Anadolu ว่า “นอกเหนือไปจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนมากถูกส่งเข้ามาในพื้นที่ในวันพฤหัสบดีเพื่อป้องกันมัสยิดในหมู่บ้านเพื่อป้องกันการโจมตีของกลุ่มหัวรุนแรง”
เจ้าหน้าที่ยังคงอยู่ในการแจ้งเตือนถึงความตึงเครียดระหว่างชุมชนชาวมุสลิม และชาวพุทธหัวรุนแรง ที่เคยเกิดความขัดแย้งรุนแรงในประเทศแห่งนี้จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน
สมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงมะบะทาที่มีอำนาจในการปกครองท้องถิ่นได้กล่าวหาว่าชาวมุสลิมในหมู่บ้าน Le Pyin ได้ก่อสร้างมัสยิดและโครงสร้างอื่น ๆ อย่างผิดกฎหมาย โดยอ้างอิงถึงอาคาร 2 หลังที่สร้างขั้นในช่วงที่มีการก่อสร้างสะพาน โดยเขาได้ประกาศจะทำลายมันจนกว่าจะพังยับเยินเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
เต็งอองประธานคณะกรรมการผู้ดูแลมัสยิดกล่าวว่า “ทั้งสองอาคารที่สร้างขึ้นใหม่โดย บริษัท รับเหมาก่อสร้างในมัสยิดในระหว่างการก่อสร้างสะพาน โดยอาคารหนึ่งใช้หนึ่งสำหรับการจัดเก็บวัสดุก่อสร้างและหลังเป็นที่พักคนงานก่อสร้าง จากนั้นบริษัทได้บริจาคมันให้มัสยิดหลังจากนั้น”
ชาวมุสลิมในพื้นได้ยินยอมที่ปฎิบัติตามคำขู่ด้วยการรื้อถอนอาคารทั้ง 2 หลังดังกล่าว พร้อมทั้งบ้านพักของครูสอนศาสนาที่ทำหน้าที่อิหม่ามมัสยิด ซึ่งตั้งอยู่เคียงข้างมัสยิดมาหลายทศวรรษ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา
“เราไม่ต้องการให้มีปัญหาใด ๆ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะทำเช่นนั้น “เต็งอองบอกกับสำนัก Anadolu ทางโทรศัพท์เมื่อวันพฤหัสบดี
กลุ่มหัวรุนแรงมะบะทากลับไม่ยอมหยุดที่คุกคามชาวมุสลิมในพื้นที่โดยยังได้ออกคำสั่งในการปกครองท้องถิ่นอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนให้ชาวมุสลิมรื้อถอนอาคารมัสยิดให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้
“เจ้าหน้าที่จะบังคับให้เราทำอย่างนั้น มันเป็นที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิงสำหรับเรา มัสยิดที่อยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 1988 “เต็งอองกล่าวว่า “คำตอบของเราคือ เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป”
กลุ่มสิทธิมนุษยชนเรียกร้องเมื่อวันพฤหัสบดีให้รัฐบาลพม่าระงับคำสั่งรื้อถอนดังกล่าว และการวางแผนที่จะยกประเด็นขึ้นเป็นปัญหาของประเทศ เพื่อหาทางออกร่วมกันในการเคารพสิทธิการนับถือศาสนาของชาวมุสลิมในพม่า
“การกระทำใด ๆ ที่จะรื้อถอนสถานที่ละหมาดคือการละเมิดที่ชัดเจนของเสรีภาพในการนับถือศาสนา” Phil Robertson รองผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของกลุ่มสิทธิมนุษยชน กล่าวในอีเมลที่ส่งไปยังสำนักข่าว Anadolu
“มันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ว่าควรจะมีส่วนร่วมจากท้องถิ่นในการตัดสินใจ ไม่ใช่การดำเนินการเพียงฝ่ายเดียวของหน่วยงานท้องถิ่นในคำสั่งรื้อถอนสถานที่ละหมาดนี้” เขากล่าว
Robertson ได้เน้นว่ารัฐบาลที่นำโดยเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ นางอองซาน ซูจี ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย “ควรให้ความสำคัญกับเหตุดังกล่าวในการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเหตุดังกล่าว โดยหนึ่งในการกระทำที่โง่เขลาเช่นการรื้อสถานที่ละหมาดจะก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างชาวมุสลิมและชุมชนชาวพุทธจะลุกเป็นไฟความรุนแรง”
เขาเสริมว่าคณะกรรมการ “ควรมีความสามารถที่จะสั่งตำรวจให้ดำเนินการได้อย่างรวดเร็วเพื่อรักษาความสงบสุข”
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมากลุ่มชาวพุทธหัวรุนแรงประมาณ 200 คนได้บุกเข้าไปในพื้นที่ของชาวมุสลิมหมู่บ้าน Thuye Tha Mein จังหวัดหงสาวดี(พะโค)ของพม่าได้รื้อทำลายมัสยิด สร้างความหวาดกลับให้มุสลิมในชุมชนต้องหนีไปนอนค้างที่สถานีตำรวจเพื่อความปลอดภัย ก่อนที่จะเตรียมอพยพออกจากหมู่บ้านหลังหวาดกลัวจากเหตุที่เกิดขึ้น ขณะที่ตำรวจพม่าทำเพียงการส่งกำลังเข้าพื้นที่หลังเกิดเหตุแล้วและไม่มีการดำเนินการใดๆ กับผู้ก่อเหตุ ขณะที่รัฐบาลพม่าก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้ความรุนแรงจะเกิดขึ้นมากว่าสัปดาห์แล้วก็ตาม
องค์การนิรโทษกรรมสากลเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุทำลายมัสยิดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ชี้ “ความผิดทางอาญา” พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าใช้ “ดำเนินการอย่างรวดเร็ว” และเปิดการสอบสวนที่ “เป็นกลาง” เพื่อหาผู้กระทำผิดมารับโทษ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะต้องมีการดำเนินการในทันที และมีคณะกรรมการอิสระมาตรวจสอบ ต้องมีการดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งเยียวยาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงโดยเร่งด่วนด้วย” Rafendi Djamin ผู้อำนวยการองค์การนิรโทษกรรมประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตร.พม่าถูกส่งไปคุ้มกันมัสยิดในรัฐคะฉิ่น หลังกลุ่มหัวรุนแรงขู่บุกรื้อถ้ามุสลิมไม่รืิ้อเอง