แม้สมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเดินทางลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้บ่อยครั้ง แต่เมื่อก้าวขึ้นเป็นหัวหน้า คสช. เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเด็นเมื่อเดือน พฤษภาคม 2557 และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา กลับปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เคยลงพื้นที่ชายแดนใต้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย
เคยแวะมาเฉียดๆ บ้าง เช่นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อประกาศนโยบาย “รับเบอร์ ซีตี้”
สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะภารกิจในหมวกนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ค่อนข้างมากและหลากหลาย ขณะที่งานทั้งด้านความมั่นคงและพัฒนาพื้นที่ก็อยู่ในความรับผิดชอบของ “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว โดยใช้โครงสร้างคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ คปต. ทำให้นายกรัฐมนตรีวางใจในระดับหนึ่ง
ส่วนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกรัฐมนตรีก็เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ หรือ steering committee ด้วยตัวเอง สะท้อนว่าปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่อยู่ในความสายตาของนายกรัฐมนตรีตลอดมา
สำหรับการลงพื้นที่ จ.นราธิวาส ในวันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรีก็จะไปประกาศทิศทางการพัฒนาพื้นที่รองรับเออีซี หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีแต้มต่อ เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม เชื่อมกับมาเลเซียและอินโดนีเซีย สองเพื่อนบ้านอาเซียนที่เป็นประเทศมุสลิมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก
เป็นการประกาศทิศทางการพัฒนาในจังหวะเวลาที่ฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะทหารเชื่อมั่นว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ได้เกือบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และสลายโครงสร้างของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือขบวนการที่มีเป้าหมายแบ่งแยกดินแดนได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า การลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของนายกรัฐมนตรีหนนี้ สืบเนื่องจากรัฐบาลเตรียมผลักดันโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ร่วมกับหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งนักธุรกิจในพื้นที่ ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ