“เมืองของฉันไม่ได้มีแต่คนตาย” จดหมายจากอเลปโป

อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และประชาชนที่อยู่ในอเลปโป ได้สะท้อนถึงการโจมตีที่เลวร้ายที่สุดในพื้นที่นับตั้งแต่ปี 2011 ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงกว่า 400 คน จากการโจมตีที่ใช้อาวุธต้องห้ามทุกชนิดในพื้นที่ การดำทำสงครามที่กฎแห่งส่งครามระหว่างประเทศไม่ถูกทำมาใช้เพื่อคุ้มครองประชาชนที่นี้

อัลญะซีเราะห์รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอเลปโปถูกกำหนดเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางอากาศที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ความรุนแรงในซีเรียเริ่มต้นในปี 2011 ประชาชนกว่า 400 คนถูกฆ่าตาย อีกหลายร้อยคนได้รับบาดเจ็บ และอาคารหลายหลังพังทลายลงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา Beebers Mishal วัย 31 ปี หนึ่งในผู้ก่อตั้งหน่วยอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนในปี 2013 และผู้อยู่อาสัยในอเลปโปได้สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่นี่ และปฏิกิริยาของโลกที่นิ่งเงียบ

ผมจำไม่ได้เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ ผมจำไม่ได้ว่าเมื่อผมนอนลง ผมไม่สามารถที่จะหลับตาลงได้โดยง่าย ไม่มีใครที่นี่ การโจมตีทางอากาศอย่างไม่หยุดยั้งทั่วทั้งเมือง เราไม่สามารถที่จะหลับตาลงได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา

ผมมี 3 ใบรับรองในหน้าที่อาสาป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน และอื่นๆ บนพื้นฐานของกฎหมายแห่งสงคราม และสันติภาพ ผมสามารถพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าประชาคมระหว่างประเทศไม่ได้บังคับใช้กฎแห่งสงครามที่นี่

เหมือนกับที่ได้เฝ้าดูอเลปโป 8 วัน กับการเผาไหม้ทั่วเมือง โดยที่ทั่วโลกมองดูอย่างเงียบๆ ในขณะที่เครื่องบินรบรัสเซียไม่ได้เพียงแค่โจมตีเป็นครั้งที่สอง

พวกเขา(รัสเซีย)ได้ทิ้งอาวุธต้องห้ามทุกชนิดที่นี่: ระเบิดฟอสฟอรัส, ระเบิดดาวกระจาย และ bunker buster หรือระเบิดเจาะหลุมหลบภัยถูกใช้ที่นี่ ผมเคยเห็นการใช้ระเบิดเหล่านี้ที่นี่ และมันได้ฝังคนที่ยังมีชีวิตอยู่จากแรงระเบิด

ระบอบการปกครองบาชาร์ อัล-อัสซาด แทรกซึมเข้ามาในพื้นที่ก่อนที่จะกำหนดเป้าหมายโจมตี ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก

ไม่มีอาหาร และเรากำลังไม่มีน้ำ ถนนสายหลักที่เข้าสู่เมืองถูกปิดกั้น ไม่มีใครที่จะหาซื้อขนมปังเพื่อประทังชีวิตได้ เพราะราคาที่สูงมาก ในแต่ละวันคนที่นี่ต้องกินข้าวกับสะระแหน่ หรือบะหมี่สำเร็จรูป

ผู้สื่อข่าวพยายามที่จะถามตัวเลขผู้ที่เสียชีวิตในแต่ละวัน แต่…

ทุกขีปนาวุธที่ถูกทิ้งลงในพื้นที่ ทันทีหลังจากนั้นหน่วยงานของเราไปยังพื้นที่ และได้เริ่มต้นค้นหาผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารที่พังถล่ม

อาคารบางแห่งที่ถูกทำลายด้วยระเบิด มีครอบครัวชาวซีเรียที่อาศัยอยู่ในนั่นถึง 5 ครอบครัว

เราได้ช่วยเหลือคนมาจากใต้ซากปรักหักพังหลังจากสามชั่วโมงของการค้นหา ในการโจมตีเหตุการณ์หนึ่ง เราได้ช่วยเหลือทารกวัย 11 วัน หลังได้ยินเสียงร้องของหนูน้อยที่ถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง

สำนักงาน 3 แห่งของเราถูกโจมตี และบางส่วนของยานพาหนะของเราถูกทำลาย การที่พวกเราตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายทำให้พวกเราอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกโจมตี และเราขาดแคลนเครื่องจักรหนักในการช่วยเหลือประชาชน

แต่แม้กระนั้น ผู้ที่ถูกช่วยเหลือออกมาจากใต้ซากอาคารก็ไม่อาจมีชีวิตรอดต่อได้

เรากำลังขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โรงพยาบาลกำลังดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดด้านไฟฟ้า และยารักษาโรค

นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเรา นี้เป็นกิจวัตรประจำวันของเรา เมื่อได้ยินเสียงระเบิดในพื้นที่เราจะออกไป ในช่วงที่ผ่านมาเราไม่ได้หยุด หรือพักแม้สักครู่ การใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพหมายถึงการทำงานของเราที่มากขึ้น มันไม่มีเวลา “เริ่มต้น” สำหรับสิ่งที่เราทำคือ ผมไม่สามารถเดินออกไปยัง White Helmets(อัศวินหมวกขาว) ได้

แน่นอนว่าสงครามมีผลกระทบกับผม ผมแต่งงานแล้ว แต่ภรรยาของผมไม่ได้อยู่กับผม เธอมีความปลอดภัยในชนบทของอเลปโป แต่ผมติดอยู่ที่นี่ในเมืองที่ถูกปิดล้อม

ก่อนสงครามผมทำงานเป็นครูสอนภาษาและรับราชการ

ในช่วงสี่ปีผมได้เห็นการสังหารเด็กบริสุทธิ์ ผมเคยได้ยินเสียงของคนที่ดิ้นรนเพื่อลมหายใจสุดท้ายของพวกเขา ในขณะที่พวกเขาอยู่ใต้ซากปรักหักพัง

ไม่มีใครสามารถแสดงความรู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้

เรามักจะพูดว่าเมื่อสงครามสิ้นสุด คนที่ยังเหลืออยู่ต้องการความช่วยเหลือด้านจิตใจเร่งด่วน

ผมเป็นคนหนึ่งในผู้ก่อตั้งของหน่วยอาสาสมัครพลเรือนซีเรียในปี 2013 ที่ผ่านมาสามปีครึ่งผมได้เห็นนับพันของการสังหารหมู่ ด้วยระเบิดจากการโจมตีทางอากาศ

แต่ไม่กี่วันที่ผ่านมาใน Aleppo คุณจะได้เห็นความโศกเศร้าในสายตาของประชาชน

คุณจะได้ยินเสียงระเบิดและความตายในทุกๆ ที่ พวกเขามีเพียงความทรงจำของเลือดที่กระจัด กระจาย และการทำลายล้าง

ความคิดเห็น

comments