พรมแดนระหว่างอินเดีย-ปากีสถานร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง หลังอินเดียออกมายอมรับว่าได้เปิดฉากทำการ “โจมตีอย่างแม่นยำ” ต่อกลุ่มติดอาวุธที่ต้องสงสัยว่าเตรียมการแทรกซึมข้ามแดนจากพื้นที่แคชเมียร์ในปกครองของปากีสถาน ซึ่งถือเป็นการตอบโต้ทางทหารโดยตรงครั้งแรกของอินเดียต่อการโจมตีฐานทัพที่อ้างว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลัง
พลโท แรนบีร์ ซิงห์ ผู้บัญชาการปฏิบัติการทางทหารของอินเดีย แถลงในวันพฤหัสบดี (29) ว่า การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นในวันพุธ (28) โดยอ้างข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงและน่าเชื่อถืออย่างยิ่ง ว่า กลุ่มก่อการร้ายเตรียมการแทรกซึมเข้าอินเดีย
ซิงห์ เสริมว่า ปฏิบัติการนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และได้แจ้งให้ผู้บัญชาการทหารของปากีสถานรับรู้แล้ว
ทางด้านปากีสถาน ระบุว่า ทหารฝ่ายตนเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บอีก 9 นาย จากการยิงตอบโต้กัน โดยทางอินเดียเปิดฉากยิงเข้าไปในเขตของปากีสถานก่อน
ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แกนนำกลุ่มฮินดูหัวรุนแรงของอินเดีย เตือนว่า ผู้ที่โจมตีกองทัพอินเดียที่เมืองอูรีใกล้ชายแดน เมื่อวันที่ 18 กันยายน จนทำให้ทหารอินเดียเสียชีวิต 18 นายนั้น จะต้องถูกลงโทษ
การโจมตีล่าสุดยังเพิ่มความเป็นไปได้ในการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างสองชาติที่ครอบครองนิวเคลียร์อย่างอินเดีย และ ปากีสถาน ซึ่งจะทำให้ข้อตกลงหยุดยิงแคชเมียร์ปี 2003 ล่ม
นอกจากนี้ ยังบ่งชี้ว่า อินเดียไม่ยึดถือนโยบายการอดกลั้นเชิงกลยุทธ์อีกแล้ว ขณะที่ต้องเผชิญกับการก่อการร้ายข้ามพรมแดน ซึ่งอ้างว่า ได้รับการสนับสนุนจากปากีสถาน
อดีตนายทหารอินเดีย พลอากาศตรี มานโมฮัน บาฮาดูร์ กล่าวว่า สาระสำคัญของความเคลื่อนไหวนี้ คือ การเตือนปากีสถาน ว่า การโจมตีข้ามพรมแดนจะเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการตอบโต้ของอินเดียต่อการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้
เหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อ่อนไหวอย่างยิ่งสำหรับปากีสถาน เนื่องจากพลเอก ราฮีล ชารีฟ ผู้บัญชาการคณะเสนาธิการทหารร่วม กำลังจะปลดเกษียณในอีกไม่นาน โดยทางนายกรัฐมนตรี นาวาซ ชารีฟ ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า งานแถลงข่าวการตอบโต้ของอินเดียที่จัดขึ้นอย่างเร่งรีบในนิวเดลี ต้องเลื่อนกำหนดการออกไป เนื่องจากโมดีเรียกประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงในคณะรัฐมนตรี เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม เผยว่า โมดีเห็นด้วยกับสิ่งที่กองทัพดำเนินการ พร้อมเสริมว่าการประกาศให้โลกรับรู้ถึงปฏิบัติการโจมตีอย่างแม่นยำเป็นสิ่งสำคัญ
ก่อนหน้านั้น กองทัพปากีสถาน รายงานว่า มีการยิงต่อสู้กันนาน 6 ชั่วโมง ในบิมเบอร์, ฮอตสปริง, เคลและ ลิปา ในดินแดนแคชเมียร์ฝั่งที่ปากีสถานควบคุม
ด้านเจ้าหน้าที่ทหารอินเดียในแคชเมียร์ บอกว่า มีกระสุนปืนใหญ่ยิงมาจากฝั่งปากีสถานเข้าสู่เขตนาวกัม ใกล้แนวเส้นควบคุม และมีการยิงต่อสู้กันต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต หรือความเสียหายจากฝั่งอินเดียแต่อย่างใด
ทั้งนี้ดินแดนแคชเมียร์มีชาวมุสลิมเป็นคนส่วนใหญ่ แต่นับจากประกาศเอกราชจากอังกฤษในปี 1947 ได้ขีดเส้นแบ่งดินแดนชาวมุสลิมดังกล่าวโดย 2 ส่วนยกให้เป็นของอินเดีย และอีก 1 ส่วนให้อยู่ในปกครองของปากีสถาน ทั้งที่ประชาชนในพื้นทีแคชเมียร์ต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของชาติมุสลิมอย่างปากีสถาน ผลของการแบ่งเขตการปกครองกัน ทั้งสองประเทศเคยรบกันมา 3 ครั้ง
ความตึงเครียดในดินแดนเคชเมียร์ ที่ทำให้การประท้วงต่อเนื่อง และการปราบปรามอย่างป่าเถื่อนต่อเนื่องนับเดือนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตร่วมร้อยคน นับตั้งแต่กองกำลังความมั่นคงของอินเดียสังหาร เบอร์ฮัน วานี ผู้นำกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา และยิ่งตึงเครียดหนักเมื่ออินเดียกล่าวหาปากีสถานว่าโจมตีเมืองอูรีของอินเดีย
อินเดียนั้นพยายามกดดันปากีสถานด้วยการเรียกร้องในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้โดดเดี่ยวทางการทูตต่อปากีสถาน และสามารถโน้มน้าวให้อเมริกา อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ประณามเหตุโจมตีที่เมืองอูรี ด้านจีนที่เป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นเช่นเดียวกันและยังเป็นพันธมิตรกับปากีสถาน เรียกร้องให้สองฝ่ายหารือกัน ด้านนักการเมืองสหรัฐพยายามพลัดดันกฎหมายให้ปากีสถานเป็นรัฐหนุนการก่อการร้ายโดยกล่าวหาว่าปากีสถานสนับสนุนกลุ่มตอลิบานปากีสถาน
กระนั้น เมื่อวันพุธ เจ้าหน้าที่จากหลายชาติ เผยว่า การประชุมสุดยอดเอเชียใต้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ที่จะจัดขึ้นในปากีสถาน อาจถูกยกเลิก เพราะ อินเดีย บังกลาเทศ อัฟกานิสถาน ประกาศไม่ร่วมประชุม
ความขัดแย้งระหว่างประเทศล่าสุดเกิดขึ้นในขณะที่ความรุนแรงในแคชเมียร์ที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตจากคมกระสุน และระเบิดจากทหารอินเดียไปแล้วเกือบร้อยคน ขณะที่พื้นที่อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกนานนับเดือน ระบบการสื่อสารทั้งหมดถูกตัดขาด แต่ไม่ถูกพูดถึงในหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และไม่มีหน่วยงานระหว่างประเทศไทยเข้าช่วยเหลือจนถึงขณะนี้