คำสั่งห้ามเข้าประเทศของทรัมป์กระทบปินส์ ดูเตอร์เตเรียกแรงงานกลับประเทศ

สถานการณ์การห้ามเดินทางเข้าอเมริกา และปัญหาผู้อพยพของประธานาธิบดีทรัมป์ ยังส่งผลต่อไปยังฟิลิปปินส์ และทำให้ผู้นำฟิลิปปินส์ออกมาประกาศให้พลเมืองฟิลิปปินส์ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมาย เดินทางกลับประเทศทันที

กัล์ฟนิวส์ รายงานเมื่อวันเสาร์(4 กุมภาพันธ์)ว่า ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ได้ออกมาเรียกร้องพลเมืองฟิลิปปินส์ในต่างแดนว่า “หากพวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ที่นั่น หรือหากว่าพวกคุณอยู่ในประเทศนั้นนานเกินกำหนด ให้เดินทางออกนอกประเทศทันที เพราะหากพวกคุณถูกจับขึ้นมา ผมไม่แม้แต่ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นเพื่อที่จะช่วยเหลือ”

และในแถลงการณ์ยังประกาศต่อว่า “ในขณะนี้ ฟิลิปปินส์ไม่มีเอกอัครราชทูตประจำในสหรัฐฯ และมาจนถึงวินาทีนี้เรายังไม่มีเอกอัครราชทูตที่จะส่งไปประจำในอเมริกา และผมไม่มีความรู้สึกต้องการที่จะส่งไปในเวลานี้”

ด้าน Migrante กลุ่มองค์กรช่วยเหลือคนงานฟิลิปปินส์ที่อาศัยเกินระยะเวลาในต่างประเทศ ที่เรียกว่า OFWs ซึ่งมีอยู่ทั่วโลก ได้ออกมาเดินขบวนในกรุงมะนิลา พร้อมกับประกาศตอบโต้คำแถลงของดูเตอร์เตว่า “ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์สมควรที่ต้องแถลงต่อคนร่วม 300,000 คนที่อาศัยอย่างผิดกฎหมายในสหรัฐฯว่า จะช่วยเหลือคนเหล่านี้ได้อย่างไร”

และในการประท้วง Migrante กล่าวต่อว่า ดูเตอร์เตควรต้องตอบคำถามนี้ต่อประชาชนชาวฟิลิปปินส์ที่เลือกเขามาในปี 2016

ในขณะเดียวกัน อดีตคณะรัฐมนตรีฟิลิปปินส์ได้ออกมาเรียกร้องให้ผู้นำประเทศแต่งตั้งเอกอัครราชทูตไปประจำยังสหรัฐฯในทันที

โดยอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ อัลเบิร์ต เดล โรซาริโอ (Albert del Rosario) ออกมาให้ความเห็นว่า “ปัญหานี้สมควรที่จะได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะการไม่แต่งตั้งเอกอัครราชทูตของประเทศไปประจำ(ในสหรัฐฯ) อาจถูกตีความในทางลบ และเป็นการบั่นทอนต่อความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของทั้งสองชาติได้”

ในขณะที่อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ และอดีตทูตถาวรฟิลิปปินส์ประจำสหรัฐฯ ลอโร บาจา( Lauro Baja) ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “ซึ่งมันจะดูเหมือนว่า พวกเขา(ในอเมริกา)จะเป็นมิตรกับชาวฟิลิปปินส์มากขึ้น หากว่ามีตัวแทนจากฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการประจำอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดีซี”

ขณะที่ในปัจจุบันนี้เจ้าหน้าที่การทูตอาวุโส แพทริก เชาโซโต(Patrick Chuasoto)ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าสถานทูตฟิลิปปินส์ในกรุงวอชิงตัน ดีซี

ทั้งนี้มีความเชื่อว่า การเข้ามารับตำแหน่งใหม่ของทรัมป์ จะช่วยสานความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานระหว่างฟิลิปปินส์และสหรัฐฯที่เกิดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาได้ แต่กลับกลายเป็นว่าในช่วงปลายเดือนมกราคม ผู้นำฟิลิปปินส์ได้ออกมากล่าวหาสหรัฐฯว่า มีความพยายามจะสร้างคลังแสงถาวรสำหรับที่เก็บยุทโธปกรณ์ของกองทัพสหรัฐฯในฟิลิปปินส์ และได้เตือนทรัมป์ว่า ความพยายามเช่นนั้นจะเป็นบ่อนทำลายข้อตกลงความมั่นคงของทั้ง 2 ชาติ

ความคิดเห็น

comments