นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู จำต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่าปกติ 2 ชั่วโมงครึ่งจากสิงคโปร์เพื่อไปเยือนออสเตรเลยในวันพุธ (22 กุมภาพันธ์) หลังไม่สามารถบินตัดเส้นทางผ่านประเทศอินโดนีเซียไปยังกรุงซิดนีย์ของออสเตรเลียได้
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนรายงานว่า นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู เดินทางมาถึงกรุงซิดนีย์ ออสเตรเลียเวลา 06.30 น. วันพุธ (22) ในการเยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 4 วัน เป็นครั้งแรกที่เนทันยาฮูมีโอกาสมาเยือนดินแดนที่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านอิสลามเข้มข้นแห่งนี้
ทั้งนี้ ข้อมูลจากเว็บไซต์การบิน FlightAware ระบุว่าเที่ยวบินตามปกติจากสิงคโปร์ไปยังออสเตรเลียนั้นใช้เวลา 8 ชั่วโมง 30 นาทีแต่ทว่าไฟลต์ของผู้นำอิสราเอลนั้นต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 11 ชม. ซึ่งเส้นทางการบินของเนทันยาฮูนั้นจำต้องบินอ้อมน่านฟ้าอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
โดยบริษัทสายการบินที่เนทันยาฮูเลือกใช้ในการเดินทางมาออสเตรเลีย คือ สายการบิน เอล อัล (El Al) ซึ่งเป็นสายการบินของอิสราเอล ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากประเทศมุสลิมหลายประเทศในการบินผ่านน่านฟ้าของประเทศเหล่านั้นเนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน
สำหรับอินโดนีเซียแล้ว ถือเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมจำนวนมากที่สุดในโลก โดยมีประชากรร่วม 82.7% ของจำนวนทั้งหมด 209 ล้านคน และมีจุดยืนชัดเจนในการสนับสนุนปาเลสไตน์ ซึ่งถูกกดขี่จากอิสราเอลมาตลอดกว่า 60 ปี
นอกจากนี้ยังพบว่าอินโดนีเซียไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล แต่มีการคว่ำบาตรบางระดับในแง่การท่องเที่ยวและการค้า โดยพบว่าอินโดนีเซียมีนโยบายวีซ่าฟรีแก่ชาวอิสราเอลที่มีทั้งชาวยิว และชาวอาหรับ รวมไปถึงอีก 83 ประเทศในเดือนธันวาคม 2015 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว
แต่ทว่าในเดือนมีนาคมล่าสุด เนทันยาฮูพยายามโฆษณาชวนเชื่อด้วยการออกมาเรียกร้องให้อินโดนีเซียหันมาเริ่มความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับอิสราเอล โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสมากมายที่จะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีของทั้งสองชาติ โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี
นอกจากนี้ เนทันยาฮูยังอ้างว่า ตัวแทนสื่อมวลชนของอินโดนีเซียถูกเชิญมายังอิสลาเอลในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศยิว และอ้างอีกว่า “ผมมีเพื่อนบนเฟซบุ๊กที่มีจำนวนไม่มากนักเป็นชาวอินโดนีเซีย” เนทันยาฮูกล่าว
แต่ทว่ารัฐบาลอินโดนีเซียได้ออกมากล่าวตอบโต้ว่า ความสัมพันธ์ทางการทูตจะกลับมาอยู่ในระดับปกติได้ก็ต่อเมื่อปาเลสไตน์ได้รับอิสรภาพแล้วเท่านั้น
โดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอินโดนีเซีย ปราโมโน อานุง (Pramono Anung) กล่าวยืนยันว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องตระหนักถึงจิตวิญญาณที่เป็นอิสระของปาเลสไตน์”