ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ดำเนินการอย่างลับๆ ในการลงนามในคำสั่งพิเศษด้านคนเข้าเมืองฉบับแก้ไขในวันจันทร์ (6 มีนาคม) ห้ามพลเมืองจาก 6 ชาติมุสลิมเข้าสหรัฐฯ โดยตัดชื่ออิรักที่เคยอยู่ในคำสั่งครั้งก่อนออก และคำสั่งดังกล่าวไม่รวมถึงพลเมืองผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในอเมริกา
หลังจากคำสั่งแรกของเขาถูกยับยั้งโดยศาลรัฐบาลกลาง ทรัมป์แอบลงนามในคำสั่งระงับวีซ่าใหม่อย่างเงียบๆ สำหรับพลเมืองซีเรีย, อิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, เยเมน และซูดาน
ทำเนียบขาวเผยว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งอย่างลับๆ “ในตอนเช้าวันนี้” และมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 มีนาคม
เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกคำสั่งพิเศษฉบับแก้ไขว่า “เป็นมาตรการที่สำคัญยิ่งสำหรับเสริมความเข้มแข็งแก่ความมั่นคงของชาติ”
ส่วน เจฟฟ์ เซสชัน รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงข่าวร่วมกัน ระบุ “มันมอบมาตรการหยุดยั้งที่จำเป็น เพื่อให้เราพิจารณาตรวจสอบบุคคลต่างๆ ที่เดินทางมาจากประเทศทั้งหลายที่เรากังวลอย่างละเอียดรอบคอบ”
“3 ในประเทศต่างๆ เหล่านี้เป็นรัฐที่ให้การสนับสนุนก่อการร้าย” เซสซันกล่าวต่อ อ้างถึง อิหร่าน ซูดาน และซีเรีย ส่วนที่เหลือเป็นแหล่งหลบซ่อนตัวของผู้ปฏิบัติการก่อการร้าย
เวอร์ชันแรกของคำสั่งพิเศษด้านคนเข้าเมืองที่ลงนามราว 1 สัปดาห์ หลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม ได้งดรับผู้ลี้ภัยทั้งหมดเป็นเวลา 120 วัน ยกเว้นชาวซีเรียที่ถูกแบนอย่างไม่มีกำหนด และห้ามพลเมืองจาก อิหร่าน, อิรัก, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซูดาน, ซีเรีย และเยเมน เดินทางเข้าสหรัฐฯ ชั่วคราว 90 คน
เบื้องต้นมีผู้ถูกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยกเลิกวีซ่ากว่า 60,000 ราย และมีรายงานว่าประชาชนหลายร้อยคนถูกกักตัวตามสนามบินต่างๆ ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ในคำสั่งใหม่นี้ได้ยกเว้นชาวอิรัก พลเมืองผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรชอบด้วยกฎหมายและผู้ถือครองวีซ่าอย่างถูกต้อง
การตัดชื่ออิรักออกจากคำสั่งแบนเป็นผลจากการต้องการความความร่วมมือระหว่างอิรัก กับสหรัฐฯในการต่อสู้กับกลุ่มดาอิชทางตอนเหนือของอิรัก
กระทรวงการต่างประเทศอิรักแถลงในวันจันทร์ (6) แสดงความพึงพอใจอย่างยิ่งต่อคำสั่งพิเศษใหม่ โดยระบุว่ามันเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างอิรัก และสหรัฐฯ
คำสั่งพิเศษฉบับดั้งเดิมได้เรียกเสียงประท้วงจากทั่วโลก เช่นเดียวกับการประท้วงในสหรัฐฯ และสถานการณ์ความวุ่นวายในวันแรกๆ ของการบังคับใช้ เนื่องจากพลเมืองขาเข้าจากเหล่าประเทศเป้าหมายถูกควบคุมตัวตามสนามบินต่างๆ ของอเมริกา และบางคนโดนส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทาง
ทรัมป์โต้อ้างว่าคำสั่งห้ามนี้มีความจำเป็นเพื่อปัองกันไม่ให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามายังแผ่นดินสหรัฐฯ