คณะกรรมาธิการกาชาดสากล ICRC ออกแถลงการณ์ยืนยัน เจ้าหน้าที่กาชาดเข้าช่วยเหลือเหยื่อพลเรือนจำนวน 15 รายที่ได้รับบาดเจ็บจากอาการบ่งชี้ว่าถูกโจมตีด้วยสารพิษแก๊สมัสตาร์ด
NBC News รายงานเมื่อวันอังคาร (7 มีนาคม) ว่า การออกมาตรวจหาความเป็นไปได้ในการมีอาวุธเคมีถูกใช้ในสงครามโมซุลเกิดขึ้นหลังจากคณะกรรมาธิการกาชาดสากล ICRC ออกแถลงการณ์ยืนยันในสัปดาห์ที่ผ่านมา อ้างว่า เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต้องให้การช่วยเหลือเหยื่อพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บจากอาการที่บ่งชี้ว่า เป็นไปได้ว่าอาจจะมาจากการถูกสาเคมีเป็นพิษเล่นงาน
ในแถลงการณ์ของ ICRC ระบุว่าได้ทำการช่วยเหลือเหยื่อผู้บาดเจ็บจำนวน 15 ราย
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของโยแลนดา ณาคูเมต์ (Iolanda Jaquemet) โฆษกสำนักงานคณะกรรมาธิการกาชาดสากล ICRC ได้กล่าวถึงผู้ป่วยอาวุธเคมีว่า “เคสแรกที่ถูกส่งเข้ามาเป็นคุณแม่รายหนึ่งพร้อมบุตร 5 คนที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี ไปจนถึง 11 ปี”
ในแถลงการณ์ ณาคูเมต์ยังกล่าวต่อว่า “นี่เป็นผลของการใช้อาวุธเคมีเล่นงานอย่างแน่นอน เพราะอาการป่วยของคนเหล่านี้นั้นชัดเจนว่าเกิดจากสิ่งนี้ ที่มีทั้งแผลผุพองขนาดใหญ่ที่มีน้ำใสอยู่ด้านในขามร่างกาย อาเจียน มีอาการระคายเคืองบริเวณดวงตา และรวมไปถึงไอ”
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลก WHO ได้กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า ทางหน่วยงานรู้สึกตระหนกเป็นอย่างมาก “ในการใช้อาวุธเคมีในการรบโมซุล” ที่ซึ่งประชาชนผู้บริสุทธิ์ต่างได้รับความทุกข์ยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ก่อนหน้านี้แล้ว
และในแถลงการณ์ของ WHO ยังกล่าวต่อว่า “การใช้อาวุธเคมีถือเป็นอาชญากรรมทางสงคราม” โดยทั้ง WHO และ ICRC ต่างยืนยันตรงการว่าผู้ป่วยที่ถูกกส่งตัวเข้ารับการรักษาล้วนได้รับอันตรายจากสารพิษที่ก่อให้เกิดการพุพองทางผิวหนัง
ทั้งนี้ จากวิกิลีกส์พบว่า สารเคมีที่ทำให้เกิดการพุพองที่ถูกใช้ในสงคราม คือ สารซัลเฟอร์ มัสตาร์ด ที่รวมไปถึงแก๊ส มัสตาร์ด สารไนโตรเจน มัสตาร์ด และสาร Lewisite ที่เป็นสารประกอบสารหนู
แหล่งข่าวระดับสูงกองทัพอิรักอ้างกับ NBC News ในวันจันทร์ (6) ว่า ทางเจ้าหน้าที่อิรักเชื่อว่า อาวุธเคมีที่ถูกใช้ในสงครามโมซุลครั้งนี้คือ แก๊สมัสตาร์ด
แหล่งข่าวระดับสูงอิรักกล่าวว่า “มีอย่างน้อย 12 คนได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เชื่อว่า คือ แก๊สมัสตาร์ดพิษ และพบว่าในจำนวนผู้ที่ถูกสารพิษนี้มีเด็กทารกวัยแค่ 2 เดือน และกลุ่มผู้หญิงรวมอยู่ด้วย”
ทั้งการผลิตและการใช้แก๊สสารพิษมัสตาร์ดนั้นถือว่าละเมิดข้อตกลงสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่ได้รับการลงนามจาก “เกือบทุกชาติ” ในโลก
ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าฝ่ายใดเป็นผู้ใช้อาวุธเคมีที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการดำเนินการโจมตีจนทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ
