ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งบริหารยกเลิกกฎระเบียบที่ออกโดยรัฐบาล บารัค โอบามา เพื่อต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เมื่อวันอังคาร (28 มีนาคม) เพื่อเดินหน้าฟื้นฟูอุตสาหกรรมน้ำมันและถ่านหินตามที่ได้ให้สัญญาไว้ก่อนเลือกตั้ง ขณะที่หลายฝ่ายเริ่มเป็นกังวลว่ามหาอำนาจผู้ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อย่างสหรัฐฯ อาจฉีกสัญญาต่อสู้โลกร้อนที่ทำไว้กับนานาชาติเมื่อปี 2015
ทรัมป์ ได้เซ็นคำสั่งประกาศ “อิสรภาพทางพลังงาน” (Energy Independence) ที่สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (EPA) โดยมีแรงงานเหมืองถ่านหินและผู้บริหารกิจการถ่านหินร่วมเป็นสักขีพยาน
กลุ่มภาคี 23 รัฐ ฝ่ายบริหารเมืองใหญ่ๆ และองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ได้ออกมาติเตียนมาตรการของ ทรัมป์ พร้อมยืนยันว่าจะต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อคัดค้านคำสั่งที่เป็นภัยคุกคามต่อสาธารณสุข
คำสั่งล่าสุดของ ทรัมป์ มุ่งทำลายแผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan) ของ โอบามา ซึ่งกำหนดให้ทุกรัฐในอเมริกาต้องลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงไฟฟ้า อันเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะช่วยให้สหรัฐฯ สามารถบรรลุเป้าหมายที่ได้ให้สัตยาบันไว้กับข้อตกลงภูมิอากาศปารีสปี 2015 ซึ่งมีรัฐบาลเกือบ 200 ประเทศทั่วโลกร่วมลงนาม
ทรัมป์ ยังเพิกถอนคำสั่งห้ามปล่อยเช่าที่ดินของรัฐเพื่อทำเหมืองถ่านหิน, ยกเลิกกฎควบคุมการปล่อยก๊าซมีเทนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ และให้น้ำหนักน้อยลงกับปัญหาโลกร้อนหรือปริมาณก๊าซเรือนกระจกเมื่อต้องกำหนดนโยบายหรืออนุมัติโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น
“ผมกำลังสร้างประวัติศาสตร์โดยการทำลายข้อจำกัดทางพลังงานในอเมริกา หยุดการก้าวก่ายของภาครัฐ และยกเลิกกฎระเบียบที่บั่นทอนการจ้างงาน” ทรัมป์ แถลงที่สำนักงานอีพีเอ ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องจากบรรดาคนงานเหมือง ผู้บริหารเหมืองถ่านหิน และตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
ไทเลอร์ ไวท์ ประธานสมาคมถ่านหินแห่งรัฐเคนตักกี ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า “ผมยังตอบไม่ได้ว่าคำสั่งบริหารในวันนี้จะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานได้มากแค่ไหน แต่อย่างน้อยรัฐบาลได้สร้างความเชื่อมั่นให้แก่อุตสาหกรรมถ่านหิน”
องค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมประณามคำสั่งของ ทรัมป์ ว่าเป็นสิ่งที่อันตราย และขัดต่อกระแสโลกที่กำลังเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดกว่า
หลายรัฐซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครตประกาศจะยื่นฟ้องศาลเพื่อคัดค้านคำสั่งนี้
“เราพร้อมที่จะปกป้องประชาชนของเรา และจะขออำนาจศาลคัดค้านคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งไม่แคร์ทั้งกฎหมาย และความสำคัญในการต่อสู้กับภัยคุกคามของปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง” อีริค ชไนเดอร์แมน อัยการสูงสุดรัฐนิวยอร์ก แถลง
รัฐที่ประกาศจุดยืนคัดค้านคำสั่งของ ทรัมป์ ยังรวมถึงแคลิฟอร์เนีย, แมสซาชูเซตส์, เวอร์จิเนีย และเมืองสำคัญๆ อย่างชิคาโก, ฟิลาเดลเฟีย และเมืองโบลเดอร์ในรัฐโคโลราโด
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทุกคนล้วนมีนโยบายลดการพึ่งพาน้ำมันจากต่างชาติ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอาหรับ (OAPEC) งดขายน้ำมันให้แก่สหรัฐฯ ในช่วงปี 1973-74 เพื่อประท้วงที่อเมริกาหนุนหลังอิสราเอลในสงครามยมคิปปูร์ จนส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันสหรัฐฯ ยังคงนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึง 7.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือเกือบจะเท่ากับความต้องการใช้น้ำมันในญี่ปุ่นและอินเดียรวมกัน
นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า การที่มนุษย์ใช้พลังงานจากน้ำมันและถ่านหินคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลง และก่อให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ภัยแล้ง และพายุที่มีความรุนแรง ทว่า ทรัมป์ และเจ้าหน้าที่หลายคนในรัฐบาลของเขากลับไม่เชื่อถือทฤษฎีนี้
ทรัมป์ เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงว่าจะนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงภูมิอากาศปารีส ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นผลเสียต่อภาคธุรกิจของอเมริกา แต่หลังจากที่ชนะเลือกตั้งเขาก็แทบจะไม่พูดถึงข้อตกลงดังกล่าว และคำสั่งบริหารเมื่อวานนี้ (28) ก็ไม่ได้พาดพิงถึงมันด้วย
แผนพลังงานสะอาดที่ โอบามา ประกาศใช้เมื่อปี 2014 กำหนดให้ทุกรัฐต้องลดการปลดปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าให้ได้ 32% จากระดับเมื่อปี 2005 ภายในปี 2030 ทว่านโยบายนี้ก็ยังไม่เคยบังคับใช้ได้จริง เนื่องจากถูกรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกันคัดค้านในชั้นศาล