หน่วยงานช่วยเหลือบรรเทาทุกข์กำลังพยายามอย่างหนักที่จะเข้าถึงชาวโรฮิงญาราว 7 แสนคน ที่ต้องหนีตายไปอยู่ตามป่าจากความรุนแรงตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า แต่เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์กำลังเผชิญกับปฎิกริยาที่ไม่เป็นมิตรจากชาวพุทธยะไข่ ที่กล่าวหาว่าสหประชาชาติและหน่วยงานช่วยเหลือต่างชาติให้ความช่วยเหลือแต่ชาวโรฮิงญา
จนถึงตอนนี้ รัฐบาลพม่าอนุญาตแค่หน่วยงานสภากาชาดเท่านั้นในการเข้าถึงพื้นที่ขัดแย้ง ส่วนสหประชาชาตินั้นได้ระงับกิจกรรมของหน่วยงานและอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่หลังต้องเผชิญกับอันตราย เมื่อรัฐบาลพม่ากล่าวหาว่าหน่วยงานของสหประชาชาติให้การสนับสนุนกลุ่มนักรบโรฮิงญาโดนอ้างเหตุที่พบขนมปังกรอบมีตราสหประชาชาติในค่ายของนักรบโรฮิงญา
นอกจากต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่เลวร้าย ภูมิประเทศที่ยากลำบากและระบบราชการที่ติดขัด สภากาชาดยังต้องเผชิญกับกลุ่มม็อบชาวยะไข่ที่ก่อตัวขึ้นเพื่อขัดขวางการนำความช่วยเหลือเข้าพื้นที่ โดยกล่าวหาว่าหน่วยงานช่วยเหลือต่างชาตินั้นไม่ยอมนำความช่วยเหลือมาให้กับพวกตน
เมื่อวันพุธ (20) กลุ่มม็อบในเมืองสิตตเว เมืองเอกของรัฐยะไข่ พยายามที่จะขัดขวางเรือซึ่งบรรทุกความช่วยเหลือจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ที่จะมุ่งขึ้นเหนือ พื้นที่ปฎิบัติการทางทหารอย่างรุนแรงที่ทำให้ชาวโรฮิงญากว่า 400,000 คนหลบหนีเข้าบังกลาเทศ
กลุ่มม็อบที่ไม่ได้ชุมนุมโดยสงบได้ใช้ไม้ มีด และระเบิดขวดเข้าขัดขวางการนำความช่วยเหลือเข้าพื้นที่ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเข้าสลายการชุมนุมไปในที่สุด และ 4 วันก่อนหน้านั้น รถบรรทุกของกาชาดพม่าก็ถูกชาวยะไข่เข้าสกัดและตรวจค้น ในเมืองสิตตเวโดยไม่มีเจ้าหน้าที่พม่าเข้าระงับเหตุรุนแรงแต่อย่างใด
“จากสถานการณ์ที่ตึงเครียดสูงในรัฐยะไข่ ทำให้เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในการดำเนินกิจกรรมเพื่อช่วยชีวิต” ปิแอร์ เปรอง โฆษกสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติในพม่า กล่าว
ในเดือนที่ผ่านมา ชาวโรฮิงญามากกว่า 430,000 คน ได้หลบหนีไปบังกลาเทศเพื่อเลี่ยงสิ่งที่ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเรียกว่าเป็นการกวาดล้างชาติพันธุ์
ในเวลานี้ กลุ่มช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ต่างชาติกำลังช่วยบังกลาเทศจัดการกับภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม ขณะเดียวกันในฝั่งพม่า วิกฤติกำลังแผ่ลามไปทั่ว และมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ความช่วยเหลือยากจะเข้าถึง
“กิจกรรมด้านมนุษยธรรมหลายอย่างที่ดำเนินการอยู่ก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 25 สิงหาคม ยังไม่สามารถกลับมาดำเนินการได้ เพื่อประโยชน์ของผู้คนที่ตกอยู่ในความเสี่ยงในทุกชุมชนในรัฐยะไข่ จำเป็นต้องดำเนินมาตรการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้กิจกรรมด้านมนุษยธรรมที่สำคัญสามารถกลับมาดำเนินการต่อไปได้อีกครั้ง” เปรอง กล่าว
ในพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ ยังมีประชาชนอีกหลายแสนคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงญา ที่อพยพออกจากบ้านเรือนแต่ยังไม่สามารถข้ามไปบังกลาเทศได้
ใกล้กับเมืองสิตตะเว มีชาวโรฮิงญา 140,000 คน ที่พลัดถิ่นจากเหตุความไม่สงบทางศาสนาก่อนหน้านี้ พักอาศัยอยู่ในค่ายผู้พลัดถิ่น ซึ่งคนเหล่านี้ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างชาติ ซึ่งถูกจำกัดอย่างเข้มงวดนับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม โดยค่ายแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอของคณะกรรมการที่ปรึกษาที่รัฐบาลพม่าตั้งขึ้นเสนอให้ปิดค่ายดังกล่าว แล้วให้ชาวโรฮิงญากว่า 140,000 คนได้กลับบ้าน แต่รัฐบาลพม่าไม่ยอมดำเนินการตามคำแนะนำดังกล่าว โดยอ้างว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกในชาติ
ชาวพุทธราว 6,000 คน ต้องหลบหนีไปเมืองสิตตเว แต่คนกลุ่มนี้ได้รับการดูแลรัฐบาลและอาสาสมัครชาวยะไข่ตามวัดวาอารามต่างๆ
ชาวยะไข่มักอ้างว่าหน่วยงานช่วยเหลือต่างชาติให้ความช่วยเหลือแต่กับชาวมุสลิม ทั้งที่ความจริงแล้วทางการพม่าตั้งเงื่อนไขสำหรับองค์กรที่ต้องการนำความช่วยเหลือเข้าไปในพื้นที่ ต้องแบ่งความช่วยเหลือเป็น 2 ส่วนเท่ากัน แม้ชาวยะไข่จะมีจำนวนน้อยกว่าชาวโรฮิงญาก็ตาม
“ทุกคนในยะไข่กำลังทุกข์ทรมาน มีแต่ชาวมุสลิมที่ได้รับความช่วยเหลือ” ตุน อ่อง กอ หัวหน้าพรรคแห่งชาติอาระกัน (ANP) ซึ่งเป็นพรรคของชาวยะไข่ ที่มักเคลื่อนไหวต่อต้านชาวโรฮิงญากล่าว
ชาวยะไข่ในเมืองสิตตเวกล่าวหาว่า สหประชาชาติประเมินจำนวนผู้ลี้ภัยเกินจริง และค่ายโรฮิงญาใกล้เมืองไม่ประสบปัญหาขาดแคลนแต่อย่างใด
“พวกเขามีมากเกินพอ” กอ เส่ง จากกลุ่มสนับสนุนชาวยะไข่ในเมืองสิตตเว กล่าวอ้าง
กอ เส่ง ยอมรับว่าเธอไม่เคยไปเยี่ยมค่ายผู้พลัดถิ่น แต่กลับอ้างว่าที่ผ่านมาเธอเคยเห็นชาวมุสลิมนำน้ำมัน ข้าว และสิ่งของช่วยเหลือต่างๆ มาขายในตลาดท้องถิ่น และกล่าวเสริมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มช่วยเหลือต่างชาติและชาวยะไข่นั้นไม่ค่อยดีเนื่องจากความละเลยและความลำเอียง
“มันยากที่จะบอกว่าพวกเขาต้องทำอะไรถึงจะได้ความเชื่อใจจากเรา” กอ เส่ง กล่าว
สิ่งที่บ่อนทำลายความไว้วางใจ คือข่าวลือที่ว่า การจัดส่งความช่วยเหลืออาจถูกใช้เพื่อลักลอบขนอาวุธให้กับกองทัพกอบกู้โรฮิงญาแห่งรัฐยะไข่ (ARSA) ที่ทางการพม่าอ้างว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตีกองกำลังรักษาความมั่นคงเมื่อเดือนสิงหาคม และเดือนตุลาคม 2559
“ชาวยะไข่ไม่มีอาวุธที่จะปกป้องตัวเอง นั่นเป็นเหตุให้เราหวาดกลัว” ตุน อ่อง กอ หัวหน้าพรรค ANP กล่าวอ้าง แม้ภาพข่าวต่างสื่อต่างๆ จะยืนยันได้ว่าชาวยะไข่ออกลาดตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆ โดยมีมีดดาบ และไม้เป็นอาวุธ
ตุน อ่อง กอ นักการเมืองชาตินิยมหัวรุนแรงพยายามสร้างภาพว่าอาจเกิดเหตุการณ์การโจมตีครั้งใหญ่กว่าเดิม โดยเฉพาะหากกลุ่ม ARSA ได้การสนับสนุนจากดาอิช
อย่างไรก็ตาม ชาวพม่าจำนวนมาก ที่ไม่เพียงแต่ชาวยะไข่ จะเชื่อข้ออ้างของทหารที่ระบุว่า ชาวโรฮิงญาวางเพลิงเผาบ้านตัวเองก่อนหลบหนี
ชาวยะไข่ที่รอยเตอร์สัมภาษณ์ระบุว่า ชาวโรฮิงญาทำเช่นนั้นเพื่อให้กลุ่มช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เห็นใจ และปลุกระดมการต่อต้านจากโลกมุสลิม และเพื่อให้แน่ใจว่าบ้านของชาวยะไข่ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงถูกเผาไปด้วย
เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือบางส่วนยอมรับว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมและทำความเข้าใจกับชาวยะไข่ ซึ่งส่งผลให้ปัจจุบันพวกเขาทำงานได้ยากขึ้น
ขณะที่โฆษกของ ICRC ประจำภูมิภาค กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือไม่ควรตกเป็นเป้าโจมตี และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์กำลังพยายามโน้มน้าวให้ชุมชนท้องถิ่นที่เข้าใจว่าพวกเขาที่อยู่ในพื้นที่ต้องการช่วยเหลือทุกคน