ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในซีเรียได้ก่อให้เกิดการสังหารหมู่มากถึง 358 ครั้งนับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ตามรายงานของเครือข่ายสิทธิมนุษยชนแห่งซีเรีย(SHRN)ในรายงานประจำเดือน
มีการสังหารหมู่อย่างน้อย 33 ครั้งในเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียว โดยเฉพาะในจังหวัด Deir Ez-Zor และ ฆุตเฎาะห์ตะวันออก ซึ่งจากหลักฐานที่ชัดเจนมีถึง 16 ครั้งที่เป็นการกระทำของกองกำลังติดอาวุธในเครือข่ายของบาชาร์ อัล-อัสซาด อีก 13 ครั้งเป็นการดำเนินการของกองกำลังรัสเซีย คนถูกก่อการร้ายโดยกองกำลังรัสเซียโดยมีข้อกล่าวหากับรัฐบาลระหว่างประเทศ
SHRN กล่าวว่า Deir Ez-Zor ประสบปัญหาการสังหารหมู่ 6 ครั้งโดยกองกำลังฝ่ายบาชาร์ อัล-อัสซาด และ 11 คนโดยกองกำลังติดอาวุธของรัสเซีย กองกำลังบาชาร์ เกี่ยวข้องกับการสังหารหมู่ 1 ครั้งในพื้นที่ และอีก 2 ครั้ง เกิดจากกองกำลังพันธมิตชีอะห์
ตามรายงานยังระบุอีกว่ากองกำลังบาชาร์ อัล-อัสซาด ยังก่อเหตุสังหารหมู่อีก 10 ครั้งในดินแดนที่ตั้งอยู่รอบดามัสกัส และกองกำลังติดอาวุธรัสเซียได้ก่อเหตุสังหารหมู่ที่นั่น 1 ครั้ง และที่อเลปโป 1 ครั้ง
พลเรือนอย่างน้อย 410 คนถูกสังหารในเหตุการณ์เหล่านี้รวมทั้งเด็ก 135 คนและหญิง 62 รายแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายหลักของการโจมตีในซีเรียคือพลเรือน
SHRN กล่าวว่าเมื่อเดือนที่แล้วมีพลเรือน 123 คนถูกสังหารรวมทั้งเด็ก 37 คนและผู้หญิง 18 คน
ขณะที่พลเรือนชาวซีเรียที่ถูกสังหารโดยรัสเซียมี 254 คนโดย 87 คนเป็นเด็กและ 42 คนเป็นหญิง
กองกำลังพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ ได้ทีการสังหารพลเรือน 5 คน รวมทั้งเด็ก 1 คน
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มติดอาวุธอื่นๆ ได้สังหารพลเรือนไปอีก 28 คนเป็นเด็ก 10 คน และผู้หญิง 2 คน
รายงานดังกล่าวยังได้เน้นว่าการทิ้งระเบิดโจมตีทำเป็นส่วนสำคัญต่อการสังหารหมู่เหล่านี้ต่อพลเรือนที่ไร้อาวุธ เป็นการชี้ให้เห็นว่ากองกำลังบาชาร์ อัล-อัสซาด และรัสเซีย ได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศต่อสิทธิของชาวซีเรีย
SHRN อธิบายว่า “การละเมิดเหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างการความขัดแย้งที่ชาวซีเรียไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก่อให้เกิดอาชญากรรมสงคราม เนื่องจากองค์ประกอบทั้งหมดของอาชญากรรมสงครามได้ถูกกระทำขั้นแล้ว”
SHRN ยังระบุอีกว่า “นอกจากนี้กองกำลังพันธมิตรระหว่างประเทศ และกองกำลังอื่นๆ ได้ก่อให้เกิดการสังหารหมู่ อย่างไรก็ตามการก่ออาชญากรรมเหล่านี้ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เช่นเดียวกับกรณีของกองกำลังของระบอบบาชาร์ อัล-อัสซาด และกองกำลังชีอะห์ ที่ก่อเหตุสังหารหมู่อย่างแพร่หลาย และเป็นระบบ”