กลุ่มบรรเทาทุกข์ทั่วโลกออกมเตือนในวันเสาร์ที่ (9 ธันวาคม) ว่า พวกเขาจะคว่ำบาตรค่ายใหม่ๆ ที่จะสร้างไว้รองรับชาวโรฮิงญาที่จะกลับไปยังบ้านของตนในรัฐยะไข่ โดยระบุว่า ผู้ลี้ภัยต้องได้รับอนุญาตให้ตั้งรกรากในบ้านเกิดของตนเอง
ถ้อยแถลงร่วมนี้ ที่ลงนามโดยองค์กรมนุษยธรรมหลายสิบกลุ่ม รวมถึง Save the Children และ Oxfam ระบุว่า พวกเขาเป็นกังวลกับการประกาศเมื่อไม่นานมานี้ที่ว่า พม่าจะเริ่มการส่งผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจากบังกลาเทศกลับประเทศภายในสองเดือน
ผู้ลี้ภัยกว่า 620,000 คนของชนกลุ่มน้อยมุสลิมแห่งนี้หลบหนีไปยังเมืองคอกซ์บาซาร์ของบังกลาเทศนับตั้งแต่ 25 สิงหาคม หลังจากที่กองทัพพม่าเปิดฉากการกวาดล้างอย่างรุนแรงในตอนเหนือของรัฐยะไข่
หลังจากทำข้อตกลงส่งกลับประเทศกับพม่าในเดือนพฤศจิกายน บังกลาเทศระบุว่า ผู้ที่กลับไปจะได้อยู่ในค่ายชั่วคราวในรัฐยะไข่
ประกาศดังกล่าวก่อให้เกิดความกลัวว่า ผู้ลี้ภัยจะเผชิญกับสถานการณ์เดียวกับที่ชาวโรฮิงญากว่า 100,000 คนในตอนกลางของรัฐยะไข่ซึ่งติดอยู่ในค่ายซอมซ่อนับตั้งแต่ที่พวกเขาพลัดถิ่นฐานเนื่องจากความรุนแรงในปี 2012
“ไม่ควรมีค่ายปิดหรือนิคมแบบค่ายใดๆ NGO จะไม่ปฏิบัติงานในค่ายดังกล่าวหากมันถูกสร้างขึ้น” กลุ่มบรรเทาทุกข์ กล่าวในวันเสาร์ (9) และเสริมว่า การส่งกลับทั้งหมดต้องเป็นโดยสมัครใจ
องค์การสหประชาชาติ ระบุว่า ปฏิบัติการของกองทัพซึ่งทำให้ได้เห็นหมู่บ้านโรฮิงญาหลายร้อยแห่งถูกเผาราบคาบ มีแนวโน้มเข้าข่ายการลบล้างเผ่าพันธุ์และอาจมี “องค์ประกอบของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ข้อกล่าวหาที่พม่าปฏิเสธอย่างหนักแน่น พร้อมย้ำไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงจะลดลงในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ แต่ผู้ลี้ภัยยังข้ามชายแดนอยู่ UNHCR ระบุเมื่อวันศุกร์ (8) พร้อมยืนกรานว่า ต้องมีการสร้างสันติภาพก่อนที่กระบวนการส่งกลับประเทศใดๆ จะเริ่มขึ้น
ชาวโรฮิงญาเผชิญกับการเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรงในพม่าที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ กลุ่มชาตินิยมในพม่าไม่ยอมรับว่าชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้เป็นชาติพันธุ์ที่มีอยู่จริงและถอดสิทธิความเป็นพลเมืองของพวกเขาอย่างเป็นระบบ รวมทั้งจำกัดการเคลื่อนไหวและการเข้าถึงงานและบริการขั้นพื้นฐานต่างๆ
ทางการยังกีดกันไม่ให้กลุ่มบรรเทาทุกข์เข้าถึงตอนเหนือของรัฐยะไข่ด้วยนับตั้งแต่ทหารเปิดปฎิบัติการรุนแรงในพื้นที่ 25 สิงหาคม การกีดขวางที่ช่วยขับดันให้ผู้ลี้ภัยข้ามชายแดนมากขึ้น