การข่มขืนหญิงชาวโรฮิงญา โดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยของพม่า ในปฎิบัติการกวาดล้างชาวโรฮิงญา เป็นการดำเนินการอย่างเป็นระบบ ตามการรายงานของสำนักข่าว AP ที่สัมภาษณ์ผู้หญิงและเด็กหญิงชาวโรฮิงญาจำนวน 29 คนที่หลบหนีไปอยู่บังคลาเทศ
ผู้รอดชีวิตในค่ายผู้อพยพหลายแห่งได้รับการสัมภาษณ์ แยกจากกัน และในพื้นที่ต่างกัน
ผู้หญิงเหล่านี้ให้ชื่อจริงกับสำนักข่าว AP แต่ AP ตกลงที่จะไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนโดยเกรงว่าตัวเขา และครอบครัวของพวกเขาจะถูกทหารพม่าฆ่า
พวกเขามีอายุตั้งแต่ 13 ถึง 35 ปีมาจากหมู่บ้านต่างๆ ในรัฐยะไข่ของพม่าและอธิบายการข่มขืนระหว่างเดือนตุลาคมปี 2016 ถึงกลางเดือนกันยายน 2017
ยังมีความน่าสะอิดสะเอียนที่คล้ายคลึงกันกับเรื่องราวของพวกเขาด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันที่ถูกกระทำโดยคนในเครื่องแบบที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่พวกเขา และรายละเอียดของการข่มขืนพวกเขา
พยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวหาของสหประชาชาติว่ากองกำลังของพม่าใช้การข่มขืนอย่างเป็นระบบเป็น “เครื่องมือสร้างความหวาดกลัว” ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การกำจัดชาวโรฮิงญาออกจากพื้นที่
กองกำลังพม่าไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอจาก AP เพื่อแสดงความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว แต่อ้างผลการสืบสวนทางทหารภายในเมื่อเดือนก่อนได้ข้อสรุปว่าการข่มขืนไม่เคยเกิดขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงข้อกล่าวหาเรื่องข่มขืนในระหว่างการเดินทางไปเยือนรัฐยะไข่ในเดือนกันยายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัฐยะไข่ Phone Tint ตั้งคำถามกลับว่า “ผู้หญิงเหล่านี้อ้างว่าถูกข่มขืน แต่มองไปที่ลักษณะของพวกเขา – คุณคิดว่าพวกเขาถูกข่มขืน?”
อย่างไรก็ตามแพทย์ และเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือกล่าวว่าพวกเขาได้สืบหาข้อมูลข่มขืน และสงสัยว่ามีเพียงเศษเสี้ยวของผู้หญิงเท่านั้นที่กล้าเปิดเผยข้อมูลออกมา
อาสาสมัครแพทย์ไร้พรมแดน (MSF) ได้รับการรักษาผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงทางเพศจำนวน 113 คนตั้งแต่เดือนสิงหาคมซึ่ง 1 ใน 3 มีอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยเหยื่อที่มีอายุน้อยสุดมีอายุเพียง 9 ขวบ
ผู้หญิงแต่ละคนที่ได้รับการสัมภาษณ์โดย AP อธิบายว่าการโจมตีที่เกี่ยวข้อง มักจะควบคู่กับรูปแบบอื่น ๆ ของความรุนแรงอย่างรุนแรง
ผู้หญิงทุกคนยกเว้นคนเดียวกล่าวว่าคนร้ายกระทำโดยสวมชุดทหารสีเขียวเข้มหรือสีอำพราง
ผู้หญิงคนเดียวที่เล่าถึงการโจมตีของเธอที่ถูกกระทำโดยผู้ที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา พร้อมบอกว่าเพื่อนบ้านของเธอรู้จักผู้ก่อเหตุมาจากด่านทหารของท้องถิ่น
ผู้หญิงหลายคนกล่าวว่าบนเครื่องแบบเหล่านี้มีการติดยศด้วยดาว หรือบางกรณีเป็นลูกศร ซึ่งเป็นการติดชั้นยศที่แตกต่างกันของทหารในกองทัพพม่า
แม้ว่าการโจมตีเหล่านี้จะเป็นเรื่องใหม่ แต่การใช้ความรุนแรงทางเพศโดยกองกำลังความมั่นคงของพม่าไม่ใช่
ก่อนที่เธอจะกลายเป็นผู้นำพลเรือนของพม่า นางอองซาน ซูจี กล่าวว่ากองกำลังพม่าใช้การข่มขืนถือเป็นอาวุธเพื่อข่มขู่ชาติพันธุ์ต่างๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อได้เป็นผู้นำรัฐบาล นางซูจี ไม่เพียงแต่ล้มเหลวที่จะกล่าวโทษเรื่องการข่มขืนโดยกองทัพพม่าเมื่อไม่นานมานี้
ในเดือนธันวาคมปี 2016 รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ที่เป็นการตอบโต้คำกล่าวอ้างของสตรีโรฮิงญาเรื่องการถูกข่มขืนโดยทหารพม่าว่าเป็น “ข่าวปลอม”
ในเหตุการณ์หนึ่ง AP บอกเล่าเรื่องราวของคู่บ่าวสาวชาวโรฮิงญาเล่าถึงช่วงที่กำลังนอนหลับอยู่ในบ้านของพวกเขาในภาคตะวันตกของพม่าในเดือนมิถุนายน ในเวลานั้นมีทหาร 7 คนเข้ามาในบ้าน
ผู้หญิงชาวโรฮิงญาผู้ซึ่งตกลงกันว่าจะระบุตัวตนของเธอโดยใช้ชื่อย่อว่า F บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันน่ากลัวมาก
เธอได้รู้ว่าทหารกำลังโจมตีหมู่บ้านโรฮิงญา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่องค์การสหประชาชาติเรียกว่าเป็นการกวาดล้างทางเชื้อชาติในประเทศที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ
เธอได้รับข่าวการโจมตีของทหารเพียงไม่กี่วันก่อนที่ทหารจะฆ่าพ่อ และแม่ของเธอ ส่วนพี่ชายของเธอหายไป
จากนั้นทหารตรงมาที่เธอ พวกเขาจับสามีของเธอมัดไว้ด้วยเชือก และผูกผ้าพันคอไว้ในปากของเขา พวกเขาดึงเครื่องประดับออกและฉีกเสื้อผ้าของเธอ พวกเขาโยนเธอลงไปที่พื้น
และจากนั้นเธอก็บอกว่าทหารคนแรกเริ่มข่มขืนเธอ
เธอต่อสู้กับเขา แต่ชายสี่คนจับเธอไว้และตีเธอด้วยไม้ สามีของเธอดิ้นจนผ้าที่มัดไว้ที่ปากหลุดออก และเขากรีดร้อง
และจากนั้นเธอก็เห็นทหารพม่าใช้ปืนจ่อยิงที่อกของสามีที่เธอเพิ่งแต่งงานกันได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ทหารอีกคนหนึ่งใช้อาวุธทลวงคอของเขา
จิตใจของเธอสับสน เมื่อทหารข่มขืนเธอเสร็จแล้วพวกเขาก็ลากเธอออกไปข้างนอก และเผาบ้านของเธอที่ทำจากไม้ไผ่
จากนั้นอีก 2 เดือน เธอต้องรับรู้ข่าวร้ายที่หนักกว่าเขาเมื่อรู้ว่า “เธอกำลังตั้งครรภ์”
มากกว่าสามเดือนหลังจากที่ทหารเข้ามาในบ้านของ F เธอ ต้องไปอาศัยอยู่กับเพื่อนบ้านของเธอ คู่สามีภรรยาและลูกชายวัย 5 ขวบของพวกเขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลูกที่อยู่ในท้องของเธอมาจากการข่มขืนของทหารกลุ่มนั้น
เธอทำได้เพียงขอให้สิ่งต่างๆจะไม่เลวร้ายลงกว่าที่เป็นอยู่ แล้วคืนหนึ่งราวกลางเดือนกันยายนมันก็เกิดขึ้นอีก
พวกผู้ชายพังประตูเข้ามา มากันห้าคนในเวลานี้ F จำได้ พวกเขาเฉือนคอของชายเพื่อนบ้านที่เธออาศัยอยู่ด้วย และฆ่าเขา
จากนั้นพวกเขาก็หันไปหาภรรยาของเขา และฝันร้ายของ F ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
พวกเขาฉีกเสื้อผ้าของผู้หญิงและโยนมันลงกับพื้น เพื่อนของ F ต่อสู้และพวกมันก็ทำร้ายเธออย่างรุนแรงจนผิวหนังบนต้นขาของเธอลอกออกไป
แต่ F ไม่ได้ต่อสู้ เธอถูกกระทำจนเลือดไหลออกระหว่างขาของเธอ ขณะที่ชายคนแรกกระทำกับเธอ และจากนั้นก็มีคนที่สอง ผู้ชายสามอีก 3 คนกระทำกับเพื่อนของเธอ
เมื่อพวกมันจากไป พวกเธอต้องนอนอยู่บนพื้นเป็นวัน
ในที่สุด F ก็พาตัวเองไปที่เท้าของเพื่อน ดึงเธอขึ้น และพาเธอหนีไปยังหมู่บ้านถัดไป และเริ่มการเดินทาง 10 วันมุ่งหน้าสู่บังคลาเทศ
ซึ่งเป็นที่ที่ F อาศัยอยู่ในขณะนี้ในที่พักพิงไม้ไผ่เล็ก ๆ สกปรก และที่นี่ F ขอดุอาอฺให้ลูกของเธอเป็นชาย – เพราะโลกนี้ไม่มีที่สำหรับเด็กผู้หญิง
ลูก เป็นเพียงสิ่งที่ในความเป็นครอบครัวที่ F มีในเวลานี้ มีคำเตือนสำหรับเธอความทุกข์ทรมานที่ผ่านมาในชีวิตในช่วงที่ผ่านมา แต่เธอหวังว่าโอกาสสุดท้ายของเธอจะมีความสุข
“ทุกคนตาย” เธอกล่าว “ฉันไม่มีใครดูแลฉัน ถ้าฉันทำแท้งลูกคนนี้ออกไป ฉันจะไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
ที่มา อัลญะซีเราะห์