กองทัพพม่าเผยวันพุธ (10 มกราคม) ว่า กองกำลังทหารได้สังหารผู้ก่อการร้ายโรฮิงญาที่จับตัวไว้ได้ 10 คน ในช่วงต้นเดือนกันยายน หลังชาวบ้านในพื้นที่บังคับให้กลุ่มชายที่ถูกจับได้เหล่านั้นลงไปในหลุมศพที่พวกเขาขุดไว้
“ชาวบ้าน และสมาชิกของกองกำลังรักษาความมั่นคงได้สารภาพว่า พวกเขาก่อเหตุสังหาร” กองทัพพม่าระบุในคำแถลงฉบับหนึ่ง ที่นับเป็นการยอมรับผิดครั้งแรกในปฎิบัติการปราบโรฮิงญาในรัฐยะไข่
กองทัพได้ดำเนินการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธโรฮิงญาในพื้นที่ตอนเหนือของรัฐยะไข่ ที่เริ่มต้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม จนส่งผลให้เกิดการอพยพของชาวบ้านมุสลิมโรฮิงญามากกว่า 650,000 คน
สหประชาชาติได้กล่าวประณามการปราบปรามของทหารว่า เป็นการกวาดล้างชาติพันธุ์ แต่ทางการพม่าปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และว่า กองกำลังของตนดำเนินการตามกฎหมายในการปราบปรามการก่อการร้าย
กองทัพประกาศเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ว่า พบหลุมศพขนาดใหญ่ที่มีศพ 10 ศพ ในหมู่บ้านอินดิน ห่างจากเมืองสิตตเว เมืองเอกของรัฐไปทางเหนือราว 50 กิโลเมตร และกองทัพได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่อาวุโสเข้าสอบสวนเหตุนี้
กองทัพอ้างการสอบสวนระบุว่า สมาชิกของกองกำลังรักษาความมั่นคงถูกบังคับให้สังหารทั้ง 10 ศพนั้น
คำแถลงซึ่งถูกโพสต์ลงบนหน้าเพจเฟซบุ๊กของ พล.อ.อาวุโส มิน ออง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่า ระบุว่า กองกำลังรักษาความมั่นคงได้ดำเนินการ “ปฏิบัติการกวาดล้าง” ในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน เมื่อผู้ก่อการร้ายเบงกาลี 200 คน โจมตีด้วยไม้ และดาบ
ผู้โจมตีถูกจับกุมตัวได้ 10 คน หลังกองกำลังรักษาความมั่นคงขับไล่ผู้โจมตีคนอื่นๆ ที่เหลือจากการยิงโจมตีทางอากาศ ตามระเบียบปฏิบัติแล้วผู้ที่ถูกจับตัวได้ควรถูกส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผู้ก่อการร้ายกำลังโจมตีต่อเนื่อง และได้ทำลายรถทหารไป 2 คัน
“เมื่อพบว่าไม่อยู่ในสภาพที่จะส่งตัวผู้ก่อการร้ายเบงกาลี 10 คน ไปที่สถานีตำรวจได้ ดังนั้น พวกเขาได้ตัดสินใจที่จะสังหารคนเหล่านั้น” ผลสอบสวน ระบุ
ชาวพุทธยะไข่ที่โกรธแค้นเพราะสูญเสียญาติพี่น้องจากการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธ ต้องการสังหารผู้ที่ถูกจับกุมตัว ชาวบ้านบังคับให้คนเหล่านั้นลงไปอยู่ในหลุมศพ และแทงพวกเขา จากนั้นสมาชิกของกองกำลังรักษาความมั่นคงได้ยิงพวกเขาจนเสียชีวิต กองทัพพม่ากล่าวอ้าง
“ชาวบ้านเหล่านั้นจะถูกดำเนินการ และสมาชิกของกองกำลังรักษาความมั่นคงที่ละเมิดกฎระเบียบตามกฎหมาย รวมทั้งผู้ที่ล้มเหลวที่จะรายงานเหตุการณ์ต่อเจ้าหน้าที่อาวุโส และผู้ที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลปฏิบัติการ” คำแถลง ระบุ
การสอบสวนครั้งนี้ดำเนินการภายใต้การนำของ พล.ท.เอ วิน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่คนเดียวกันกับที่รับผิดชอบการสอบสวนการดำเนินการของทหารในความขัดแย้ง ที่ได้รายงานผลสรุปเมื่อเดือน พฤศจิกายนว่า ไม่มีการกระทำโหดร้ายทารุณเกิดขึ้น