สถาบันวะสะฎียะฮ์เพื่อสันติภาพ และการพัฒนาฯ สำนักจุฬาราชมนตรี จัดปาฐกถาสาธารณะประจำปีเรื่อง “อิสลามกับความเป็นพลเมืองมุสลิม ในสังคมไทย” ณ โรงแรมอัลมีรอซ ชี้หน้าที่พลเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ในอิสลาม ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลั๊ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้วางรากฐานของหน้าที่พลเมืองตั้งแต่การอพยพสู่มะดีนะห์ ย้ำ “มุสลิมคือผู้ที่สังคมปลอดภัยจากลิ้นของเขา และมือของเขา”
ผศ.ดร.มูฮัมหมัดอิลยาส หญ้าปรัง รองผู้อำนวยการสถาบันวะสะฎียะฮ์ฯ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานระบุแนวทางของสถาบันคือการสร้างกรอบความคิด และเวทีในการพูดคุยในแนวทางแห่งดุลยภาพ โดยการสร้างเวทีในการพูดคุยทั้งในหมู่ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม และในหมู่มุสลิมด้วยกันเอง จัดทำงานวิจัยและจัดทำหนังสือ รวมถึงการฝึกอบรมให้กับครูผู้สอนในโรงเรียน และสถาบันต่างๆ
ขณะที่คุณขจร มุกมีค่า ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวในฐานะผู้เปิดงานย้ำว่า ไม่อยากใช้คำว่าชนกลุ่มน้อย เราเป็นคนไทยด้วยกัน เพียงแต่นับถือศาสนาต่างกันเท่านั้นเอง โดยทางกระทรวงได้สนับสนุนการสร้างศูนย์กาเรียนรู้อัลกุรอานที่อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ซึ่งตอนนี้อยู่ในขึ้นตอนการสร้างอาคาร คาดว่าจะเสร็จในราว 1-2 ปีนี้
ด้าน ผศ.ดร.อับดุลเลาะ หนุ่มสุข ผู้อำนวยการสถาบันวะสะฎียะฮ์ฯ กล่าวว่า การรักในแผ่นดินเกิดนั้นพระผู้เป็นเจ้าได้สร้างไว้ในหัวใจของมนุษย์ทุกคน อัลกุรอานเรียกว่าฟิตเราะห์ เป็นธรรมชาติอันบริสุทธิ์ในตัวที่ไม่มีใครเปลี่ยนได้ เมื่อเราได้เรียนรู้ในประวัติศาสตร์ของท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลั๊ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้วางรากฐานสำคัญคือการสร้างความเป็นเอกภาพด้วยการเป็นพี่น้องกัน และสร้างรากฐานของการเป็นพลเมือง
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองมะดีนะห์ท่านนบีพบว่ามีหลายกลุ่มที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว และผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ท่านได้สร้างความเป็นพลเมืองของมะดีนะห์ โดยมีกฎบัตรมะดีนะห์ที่ทุกคนให้การยอมรับ มีการกำหนดสิทธิ หน้าที่ ของทุกกลุ่มที่เท่าเทียมกัน และเหมือนกัน
เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่ว่าความเป็นพลเมืองกับความเป็นมุสลิมนั้นขัดแย้งกัน ถือเป็นวิธีคิดที่อันตราย และขัดแย้งกับคำสอนของอัล-อิสลาม ที่มีเจตนาในการสร้างพลเมืองที่ดีในสังคมไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในที่ใดก็ตาม
โดยมุสลิมมีหน้าที่ในการเป็นพลเมืองที่ดีตามศาสนบัญญัติ และธรรมนูญของประเทศ อิสลามไม่ได้แบ่งแยกระหว่างศาสนา กับสังคม อิสลามจึงมีหลัก “วะสะฎียะฮ์” คือหลักแห่งดุลยภาพในสังคม โดยตามคำสอนของอิสลามคือคนที่ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากที่สุด ซึ่งความเป็นพลเมือง กับความเป็นมุสลิมเป็นเนื้อเดียวกันไม่แยกจากกัน
ผศ.ดร.อับดุลเลาะ ยังกล่าวในตอนท้ายว่า “มุสลิมคือผู้ที่สังคมปลอดภัยจากลิ้นของเขา และมือของเขา”
นอกจากนี้ในการปาฐกถายังมี Dato Dr.Nasharudin Mat Isa จากประเทศมาเลเซีย, ศ.ดร.กรก วงษ์ตระหง่าน และดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ร่วมเป็นองค์ปาฐกถาด้วย