องค์การนิรโทษกรรมสากลเผยว่า หลังชาวมุสลิมโรฮิงญาเกือบ 700,000 คน ถูกบีบให้ต้องอพยพหนีตายจากพม่าไปยังบังกลาเทศ ล่าสุดพบกองทัพพม่ากำลังสร้างค่ายทหารขึ้นบนพื้นที่บางส่วนที่เคยเป็นชุมชน รวมทั้งมัสยิดของชาวโรฮิงญา
การปราบปรามของทหารรุนแรงของพม่าตั้งแต่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวโรฮิงญาจากกว่า 350 หมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายต้องหนีตายไปยังบังกลาเทศ
รายงานขององค์การนิรโทษกรรมสากลที่เผยแพร่วันจันทร์ (12 มีนาคม) ระบุว่าหมู่บ้านโรฮิงญาที่ยังเหลืออยู่ และสิ่งปลูกสร้างบางอย่างไม่ได้รับความเสียหายก่อนหน้านี้ ถูกรื้อทำลาย ไถปรับพื้นที่จนเรียบ รวมทั้งยังมีการก่อสร้างถนนและที่อยู่อาศัยในพื้นที่ขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีสิ่งปลูกสร้างด้านความมั่นคงแห่งใหม่ขึ้นอย่างน้อย 3 แห่ง ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ตามการระบุของกลุ่มสิทธิมนุษยชน
“สิ่งที่เรากำลังเห็นในรัฐยะไข่คือการยึดที่ดินโดยทหารในขนาดที่น่าตกใจ” ผู้อำนวยการตอบโต้วิกฤติขององค์การนิรโทษกรรมสากลระบุในคำแถลง
“ค่ายแห่งใหม่กำลังสร้างขึ้นเพื่อเป็นฐานของกองกำลังรักษาความมั่นคงที่ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติกับชาวโรฮิงญา” ผู้อำนวยการระบุ
มัสยิดอย่างน้อย 4 แห่ง ที่ไม่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ก่อนหน้านี้ ถูกทำลายลงหรือถูกรื้อถอนหลังคา และโครงสร้างต่างๆ ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม
ในหมู่บ้านโรฮิงญาแห่งหนึ่ง ภาพถ่ายดาวเทียมเผยให้เห็นว่ามีสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้เป็นด่านตำรวจชายแดนแห่งใหม่ปรากฎอยู่ถัดจากพื้นที่ที่เคยเป็นมัสยิดที่เพิ่งถูกทำลายไป
โฆษกรัฐบาลและกองทัพพม่าไม่ได้แสดงความเห็นในเรื่องนี้ ส่วนเจ้าหน้าที่พม่าระบุว่าหมู่บ้านต่างๆ ถูกปรับหน้าดินเพื่อเตรียมไว้สำหรับการปลูกบ้านใหม่สำหรับผู้ลี้ภัยที่เดินทางกลับ
พม่าได้ร้องขอหลักฐานที่ชัดเจนที่จะสนับสนุนข้อสรุปของสหประชาชาติที่ว่าพม่าดำเนินการกวาดล้างชาติพันธุ์ในรัฐยะไข่
พม่าและบังกลาเทศบรรลุข้อตกลงในเดือนพฤศจิกายน ที่จะส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศ และฝ่ายพม่าระบุว่าค่ายพักชั่วคราวสำหรับผู้เดินทางกลับนั้นถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่กระบวนการส่งกลับยังไม่สามารถเริ่มต้นขึ้นได้
องค์การนิรโทษกรรมสากลระบุว่า การปรับพื้นที่ที่โรฮิงญาเคยอาศัยอยู่นั้นดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกองกำลังรักษาความมั่นคงและชาวบ้านที่ไม่ใช่โรฮิงญา และอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ลี้ภัยที่จะตกลงยินยอมเดินทางกลับประเทศ