นายกรัฐมนตรีที่เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง มหาเธร์ โมฮาหมัด เผยก่อนการรับตำแหน่งว่ามาเลเซียอาจขอเจรจาแก้ไขข้อตกลงบางอย่างกับจีน หลังชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในวันพุธที่ผ่านมา (9 พฤษภาคม)
ระหว่างแถลงข่าวเพื่อเตรียมตัวรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในวันพฤหัสบดี (10) มหาเธร์ ยอมรับว่า รัฐบาลของเขาอาจยกเลิกนโยบายบางอย่างที่รัฐบาลเดิมของพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (BN) ทำไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST) ที่ทำให้ค่าครองชีพของชาวมาเลเซียสูงขึ้น
มหาเธร์ วัย 92 ปี ยังยืนยันว่าพร้อมสนับสนุนโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road – BRI) ของจีน แต่มาเลเซียขอสงวนสิทธิ์ที่จะเจรจาปรับเปลี่ยนเงื่อนไขข้อตกลงบางฉบับที่เคยทำร่วมกับจีน หากมีความจำเป็น
“เราไม่มีปัญหาอะไรกับเรื่องนั้น (โครงการ BRI) แต่เราไม่อยากเห็นเรือรบจำนวนมากๆ เข้ามาป้วนเปี้ยนในทะเลแถบนี้ เพราะเรือรบหนึ่งลำก็อาจจะดึงดูดเรือรบลำอื่นๆ เข้ามาได้” เขากล่าว
บริษัทหลักทรัพย์โนมูระได้เผยแพร่รายงานเมื่อเดือนที่แล้ว ระบุว่ามาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากยุทธศาสตร์การลงทุนของจีนในเอเชีย โดยจีนมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการ BRI เป็นมูลค่าถึง 32,400 ล้านดอลลาร์ แต่นั่นก็ทำให้ นาจิบ ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่ากำลัง “ขาย” ประเทศให้แก่จีน
ขณะที่ในช่วงค่ำของวันพฤหัสบดี (10) ดร.มหาเธร์ โมฮาหมัด ได้กลายเป็นผู้นำประเทศที่มีอายุมากที่สุดในโลกด้วยวัย 92 ปี หลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งต่อกษัตริย์สุลต่าน มูฮัมหมัดที่ 4 ณ พระราชวังในกรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยเขาประกาศจะจัดตั้งรัฐบาลอย่างรวดเร็วเดินหน้าทำงานทันที หลังจากเคยบริหารประเทศมาแล้ว 22 ปี ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ตามการรายงานผลอย่างเป็นทางการของการเลือกตั้งมาเลเซีย 222 เสียงปรากฎว่า ฝ่ายค้านได้ที่นั่ง 113 คน เกินครึ่ง ขณะที่พรรค BN ได้เพียง 79 ที่นั่ง แต่ดร.มหาเธร์บอกว่าเขาได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายต่างๆ ด้วยจำนวนที่นั่งของ ส.ส. 135 ที่นั่ง