มุสลิมะห์วัย 28 ปี กลายเป็นบุคคลแรกที่ถูกรัฐบาลเดนมาร์กลงโทษปรับฐานละเมิดกฎหมายห้ามสวมใส่ผ้าคลุมหน้าแบบปิดหน้า นิกอบ หรือบูรเกาะ ในที่สาธารณะ เมื่อวันศุกร์ (3 สิงหาคม) หลังถูกสตรีอีกคนพยายามทำร้ายและดึงผ้าปิดหน้าของเธอกลางห้าง ขณะที่ตำรวจเมินดำเนินคดีละเมิดกับคู่กรณีแม้จะมีหลักฐานชัดเจน
ตำรวจเผยว่าได้รับแจ้งเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างสตรีมุสลิมรายหนึ่งกับสตรีหัวรุนแรงอีกคนที่พยายามโจมตีสตรีมุสลิมเพื่อดึงนิกอบของเธอออก กลางห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองฮอร์ชอล์ม (Horsholm) มณฑล Nordsjaelland ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเดนมาร์ก
“ระหว่างที่ทะเลาะกัน นิกอบของเธอถูกคู่กรณีดึงจนหลุด แต่เมื่อตำรวจไปถึงเธอก็สวมมันกลับเข้าไปใหม่แล้ว” เดวิด บอร์เชอร์เซน ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในวันดังกล่าว ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Ritzau
ตำรวจได้ถ่ายภาพหญิงมุสลิมที่สวมนิกอบไว้ และขอภาพจากกล้องวงจรปิดของห้างเพื่อนำไปตรวจสอบ
หญิงมุสลิมผู้นี้ถูกสั่งปรับเป็นเงิน 1,000 โครน (ราว 5,100 บาท) และตำรวจได้ขอร้องให้เธอเลิกสวมนิกอบ หรือไม่ก็อย่าออกมาเดินในที่สาธารณะอีก
“ซึ่งเธอเลือกอย่างหลัง” บอร์เชอร์เซน กล่าว
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลเดนมาร์กได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายห้ามสวมบุรกอ (burqa) และนิกอบ (niqab) ในที่สาธารณะ โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 1,000 โครน และหากยังกระทำผิดซ้ำซากก็จะต้องเสียค่าปรับเพิ่มสูงสุดถึง 10,000 โครน
กฎหมายนี้ยังครอบคลุมถึงเครื่องอำพรางใบหน้าชนิดอื่นๆ เช่น หมวกไอ้โม่ง, หน้ากาก และเคราปลอม
นักสิทธิมนุษยชนวิจารณ์กฎหมายฉบับนี้ว่าละเมิดสิทธิสตรี ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนอ้างว่านี่คือมาตรการที่จะช่วยให้ผู้อพยพมุสลิมรู้จักปรับตัวเข้ากับสังคมเดนมาร์ก
ด้านกระทรวงยุติธรรมเดนมาร์กอ้างว่ากฎหมายนี้จะมุ่งเน้นไปที่มุสลิมะห์ที่ครอบครัวของพวกเธอบังคับให้สวมผ้าคลุมฮิญาบ
หัวหน้าสหภาพการตำรวจเดนมาร์ก Claus Oxfeldt กล่าวว่าเขาต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีบังคับใช้กฎหมาย พร้อมระบุว่าเขาไม่แน่ใจเช่นว่านักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่สวมหน้ากากป้องกันมลภาวะจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ด้วยหรือไม่