การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่มีสมาชิก 193 ประเทศเมื่อวันอังคารที่(16 ตุลาคม)ผ่านมา ยกระดับปาเลสไตน์เป็นเสมือนสมาชิกเต็มตัวในระหว่างการประชุมปี 2019 และปาเลสไตน์จะเข้ารับตำแหน่งประธานกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา 77 ประเทศ หรือ G77
แม้สหรัฐอเมริกา, อิสราเอล และออสเตรเลีย จะยกมือค้าน แต่มติดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก 146 ประเทศ ขณะที่ 15 ประเทศค้าน โดยที่ 29 ประเทศงดออกเสียง
“เราไม่สามารถสนับสนุนความพยายามของปาเลสไตน์ในการยกสถานะของพวกเขานอกการเจรจาโดยตรง สหรัฐฯไม่ยอมรับว่ามีรัฐปาเลสไตน์” เอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำสหประชาชาติ Jonathan Cohen กล่าวในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
ชาวปาเลสไตน์ต้องการจัดตั้งรัฐในเวสต์แบงก์ และฉนวนกาซา โดยมีเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวง แต่อิสราเอลยึดดินแดนเหล่านั้นไว้หลังก่อสงครามกลางเมืองในปี 1967 จนถึงปัจจุบันแม้สหประชาชาติจะมีมติที่ 242 ให้คืนดินแดนดังกล่าวให้ปาเลสไตน์
ในปี 2012 สหประชาชาติได้ให้สัตยาบันอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับการรับรู้สถานะของปาเลสไตน์โดยพฤตินัยเมื่อปาเลสไตน์สมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติในฐานะรัฐผู้สังเกตการณ์ โดยยังไม่อยู่ในสถานะรัฐสมาชิก เช่นเดียวกับวาติกัน
การอัปเกรดสถานะจะทำให้ปาเลสไตน์มีส่วนร่วมในการลงมติในสมัชชาใหญ่ และเข้าร่วมองค์กรระหว่างประเทศบางแห่งได้ แต่อย่างไรก็ตามในฐานะประเทศที่ไม่ใช่รัฐสมาชิก ปาเลสไตน์จะยังคงไม่สามารถลุกขึ้นกล่าวในที่ประชุมสหประชาชาติได้ จนกว่าจะอยู่ในสถานะสมาชิก นักการทูตระบุ
อียิปต์ได้ช่วยให้ปาเลสไตน์สามารถปฎิบัติหน้าที่ได้เหมือนเป็นรัฐสมาชิกในการปฎิบัติหน้าที่ในนาม G77
ขณะที่จีนออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนการยกระดับสถานรัฐปาเลสไตน์
เอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำสหประชาชาติ Gillian Bird กล่าวต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่า “การตัดสินใจของออสเตรเลียในการลงมติไม่สนับสนุนในเรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่ยาวนานปาเลสไตน์ที่จะแสวงหาการยอมรับการเป็นรัฐในเวทีระหว่างประเทศ มันไม่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหาสองรัฐเคียงคู่กัน”
https://www.youtube.com/watch?v=sltw8cQIacw