สหรัฐฯ ระบุเมื่อวานพุธ (19 ธันวาคม) ว่า พวกเขาเห็นชอบที่จะขายขีปนาวุธมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.14 แสนล้านบาท) ให้กับตุรกี หลังทรัมป์ประกาศถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากซีเรีย
รายงานดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งให้กองกำลังสหรัฐฯจะถอนตัวจากซีเรีย ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของตุรกีที่ต้องการให้สหรัฐถอนกองกำลังจากการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดในซีเรีย และยังเกิดขึ้นในช่วงที่ปรับเปลี่ยนนโยบายในการยอมรับการคงอยู่ในอำนาจต่อไปของบาชาร์ อัล-อัสซาด ในซีเรีย
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า พวกเขาได้แจ้งสภาคองเกรสถึงแผนการที่จะขายแพ็กเกจที่ประกอบด้วยขีปนาวุธแพทริออต 88 ลูก , จรวดสกัดกั้นขีปนาวุธ PAC-3 60 ลูก และยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
“แพ็กเกจดังกล่าวจะเพิ่มความสามารถด้านการป้องกันให้กับกองทัพตุรกีเพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรู และปกป้องพันธมิตรนาโตที่อาจฝึกฝน และปฏิบัติงานภายในพรมแดนของตุรกี” คำแถลง ระบุ
การอนุมัติขายขีปนาวุธจำนวนมหาศาลมีขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้ตุรกีได้ตกลงซื้อขีปนาวุธ S-400 จากรัสเซีย สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับกลุ่มพันธมิตรในนาโต ซึ่งก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านภัยคุกคามของอดีตสหภาพโซเวียต หรือรัสเซียในปัจจุบัน
เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯคนหนึ่ง กล่าวว่า ตุรกีจะทำให้การมีส่วนร่วมในอีกโครงการหนึ่งทางทหารของสหรัฐฯ มีความเสี่ยง คือโครงการเครื่องบินขับไล่ F-35 หากตุรกียังคงดึงดันจะซื้อ S-400 ต่อไป
ตุรกีอาจเผชิญกับการคว่ำบาตรด้านการซื้อขายอาวุธภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ หากแผนดังกล่าวยังดำเนินต่อไป เจ้าหน้าที่รายนี้ กล่าวโดยขอไม่เปิดเผยนาม
การซื้ออาวุธจากรัสเซีย “จะทำให้สหรัฐฯมีปัญหาร้ายแรงในการทำธุรกิจกับตุรกีในทุกๆ มิติการค้าด้านการป้องกันประเทศ” เจ้าหน้าที่รายนี้ กล่าว
“มันเป็นเรื่องสำคัญที่กลุ่มประเทศนาโตจะต้องจัดหายุทโธปกรณ์ที่สามารถใช้งานร่วมกันได้กับระบบของนาโต ระบบของรัสเซียไม่ตอบสนองมาตรฐานนั้น”