ผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมโรฮิงญาหลายพันคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอยต่อระหว่างชายแดนพม่า-บังกลาเทศ ต่างตกอยู่ในความหวั่นวิตก เนื่องจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นทุกวันระหว่างกองกำลังรักษาความมั่นคงพม่า และกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ยะไข่ในพื้นที่อยู่อาศัยของชาวโรฮิงญา
ชาวมุสลิมโรฮิงญาหลายแสนคนต้องหนีตายจากการปราบปรามทางทหารของพม่านับตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2560 ชาวโรฮิงญาส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ แต่โรฮิงญากลุ่มแรกที่อพยพยังคงอาศัยอยู่ตามขอบชายแดนไม่ต้องการที่จะเข้าไปในค่ายผู้ลี้ภัย หรือเดินทางกลับเข้าไปในพม่า
“การสู้รบอย่างหนักหน่วงระหว่างทหารพม่า กับกองทัพอาระกัน(AA)(กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาวพุทธยะไข่)กำลังเกิดขึ้นในเขตพม่า สถานการณ์ตึงเครียดมาก” แกนนำชาวโรฮิงญา กล่าว และระบุว่า การเสริมกำลังพลรักษาความมั่นคง และเสียงปืนที่ยิงกันทุกวันสร้างความตื่นตระหนกให้พวกเขา
เมื่อสัปดาห์ก่อน กองกำลังทหารพม่าได้ตั้งค่ายรักษาความมั่นคงและบังเกอร์ตามแนวชายแดนหลังตำรวจพม่าเสียชีวิตไป 13 นาย
ป้อมปราการบางแห่งอยู่ชิดติดกับรั้วชายแดนที่ตั้งตามแนวลำธาร และกระท่อมของผู้ผลัดถิ่นชาวมุสลิมโรฮิงญาราว 4,500 คน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แคบๆ บริเวณพรมแดนของพม่า และบังกลาเทศ
แกนนำชุมชนผู้ลี้ภัย กล่าวว่า เสียงยิงปืนได้ยินถี่ขึ้นหลังพระอาทิตย์ตกในอีกฝั่งหนึ่งของชายแดน
“มันอยู่ใกล้มากทุกคืน หน่วยรักษาชายแดนพม่าตั้งฐานใหม่ขึ้น 10 จุดใกล้กับค่ายของเรา มันน่ากลัวมากๆ” แกนนำชุมชน กล่าว
ในคำแถลงที่ออกเมื่อวันพุธ (9) สหประชาชาติระบุว่า หน่วยงานรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมากต่อสถานการณ์ในพื้นที่
ชาวโรฮิงญาในพม่าต้องทนทุกข์กับการกดขี่ข่มเหงมานานหลายสิบปี โดยเฉพาะในรัฐยะไข่ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังทางศาสนา และความเกลียดชังทางชาติพันธุ์ที่ฝังลึก ที่ชาวโรฮิงญาบอกว่าญาตพี่น้องของพวกเขาถูกสังหารหมู่ หมู่บ้านถูกวางเพลิง และผู้หญิงถูกข่มขืนโดยฝีมือของกองกำลังทหารพม่า และม็อบชาวพุทธยะไข่ ที่สหประชาชาติเรียกร้องให้ดำเนินการสืบสวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อผู้บัญชาการระดับสูงของทหารพม่า