เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันวันพฤหัสบดี (10 มกราคม) กองทัพเริ่มดำเนินการถอนอาวุธยุทโธปกรณ์บางส่วนออกจากซีเรียแล้ว หลังมีกระแสข่าวว่าการถอนทหารอเมริกันกำลังเริ่มต้นขึ้นตามคำสั่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แม้เขาจะออกมาประกาศอีกครั้งว่าคำสั่งถอนทหารเป็นความเข้าใจผิดของสื่อมวลชนก็ตาม
เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ประสงค์ออกนามให้ข้อมูลกับ AFP ว่า “มีการเคลื่อนย้ายเครื่องมือบางส่วนออกจากซีเรียจริง แต่ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง จึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้”
ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ว่าจะถอนทหารอเมริกันทั้งหมด 2,000 นายออกจากสมรภูมิซีเรีย สร้างความหวั่นวิตกแก่ชาวเคิร์ดที่ร่วมมือกับอเมริกากวาดล้างดาอิชในซีเรีย ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหม เจมส์ แมตทิส ถึงขั้นประท้วงด้วยการลาออกจากตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ ได้ออกมากลับลำ โดยอ้างความเรื่องการถอนทหารเป็นความเข้าใจผิดของสื่อ ทำให้กรอบเวลาในการถอนทหารยังคงไม่ชัดเจน
ทั้งนี้ CNN รายงานเรื่องสหรัฐฯ ขนย้ายอาวุธออกจากซีเรีย โดยได้อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ผู้ทราบข้อมูลโดยตรงคนหนึ่งว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการถอนทหาร
ทว่าเจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็ไม่ระบุชัดเจนว่า เครื่องมือที่ถูกเคลื่อนย้ายออกมาคืออะไร มาจากภูมิภาคใดของซีเรีย และจะถูกส่งไปยังที่ใด
ผู้สังเกตการณ์เชื่อว่าการถอนทหารน่าจะเริ่มขึ้นในพื้นที่ตอนเหนือของซีเรีย
เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์กับ CNN ระบุว่า เพนตากอนต้องการสแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์ นั้นเดินหน้าไปสู่การถอนทหารตามที่พูดไว้เมื่อเดือน ธันวาคม และแม้จะยังไม่มีการถอนกำลังพล แต่การเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์บางอย่างออกมาก็สะท้อนถึงความคืบหน้า
จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ยืนยันเมื่อวันอาทิตย์ (6) ว่าสหรัฐฯ กำหนดเงื่อนไขที่รัดกุมในการถอนทหารออกจากซีเรีย และจะต้องไม่กระทบต่อภารกิจปกป้องพันธมิตร
โบลตัน กล่าวกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลระหว่างไปเยือนนครเยรูซาเลมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐฯ ต้องการหารือกับอิสราเอลเรื่องคำสั่งถอนทหารของทรัมป์ “ซึ่งจะเริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียก่อน แต่ต้องมั่นใจว่าดาอิชนั้นพ่ายแพ้จนไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้อีกแล้ว”
ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวที่อียิปต์เมื่อวันพฤหัสบดี (10) ว่าสหรัฐฯ จะเดินหน้าถอนทหารออกจากซีเรียอย่างแน่นอน พร้อมเรียกร้องให้ชาติตะวันออกกลางผนึกกำลังกันต่อต้านอิทธิพลของอิหร่าน