เกิดเหตุน้ำท่วมและดินถล่มจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักในปาปัว จังวัดทางตะวันออกสุดของอินโดนีเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 58 คน และต้องอพยพประชาชนออกจากพื้นที่กว่า 4,000 คน ทางการดินโดนีเซียยังคาดว่า ยอดผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยอีกหลายจุด
ซูโตโป เปอร์โว นูโกรโฮ โฆษกสำนักงานภัยพิบัติแห่งชาติอินโดนีเซีย แถลงในวันอาทิตย์ (17 มีนาคม) ว่าเจ้าหน้าที่ยังคงค้นหาผู้ประสบภัยในเมืองเซนทานีที่เกิดเหตุน้ำท่วมฉับพลันเมื่อคืนวันเสาร์ (16) และมีผู้เสียชีวิต 51 คน บาดเจ็บอีก 74 คน
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักยังทำให้เกิดดินถล่มในจังหวัดจายาปุระที่อยู่ใกล้กัน และมีผู้เสียชีวิต 7 คน ขณะเดียวกัน มูฮัมหมัด ไอดี โฆษกกองทัพปาปัว เผยว่า ทหารช่วยทารกวัย 4 เดือนที่ติดอยู่ใต้ซากบ้านที่ได้รับความเสียหายและนำส่งโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย
นูโกรโฮกล่าวเสริมว่า จำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระบวนการอพยพยังคงดำเนินการอยู่ และทางการยังไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ประสบภัยทั้งหมด โดยขณะนี้มีประชาชนราว 4,150 คนหลบภัยอยู่ในศูนย์อพยพ 6 แห่ง
รายงานยังระบุว่า บ้านเรือนหลายร้อยหลัง รวมถึงสะพาน 3 แห่ง และเครื่องบินทวิต ออตเตอร์ 1 ลำที่จอดอยู่ในสนามบินได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม อย่างไรก็ดี สนามบินเซนทานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งหลักของจังหวัด ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ภาพข่าวทางทีวีเผยให้เห็นถนนหลักหลายสายของเซนทานีจมโคลนและระเกะระกะไปด้วยซุงต้นใหญ่ภายหลังน้ำลด
นูโกรโฮระบุอีกว่า เจ้าหน้าที่สำนักงานภัยพิบัติได้แจ้งเตือนรัฐบาลจายาปุระมานานแล้วเกี่ยวกับความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่าบริเวณเทือกเขาไซคลอปส์เพื่อทำฟืนและทำพื้นที่เพาะปลูก โดยเมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลอินโดนีเซียได้จัดส่งเมล็ดพันธุ์เพื่อให้จังหวัดดังกล่าวนำไปปลูก
ขณะเดียวกัน วิกเตอร์ ดีน แม็กบอน ผู้บัญชาการตำรวจจายาปุระ เผยว่า รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 14 วัน
ทั้งนี้ อุทกภัยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปกติในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนตุลาคมถึงเมษายน