กษัตริย์บรูไนย้ำให้ส่งเสริมคำสอนอิสลาม อุทิศตนเพื่ออัลลอฮฺ

สมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านฮัสซานัลโบลเกียห์แห่งบรูไนทรงเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันส่งเสริมหลักคำสอนศาสนาอิสลามให้เข้มแข็ง วันเดียวกับการเริ่มต้นบังคับใช้กฎหมายอิสลามขั้นที่ 2 มีผลบังคับใช้ในวันนี้ (3 เมษายน)

บรูไนกลายเป็นชาติแรกในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ที่นำกฎหมายชารีอะห์มาบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในตะวันออกกลางรวมทั้ง ซาอุดีอาระเบีย

โดยความผิดฐานข่มขืน และปล้นชิงทรัพย์จะมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารที่บังคับใช้สำหรับชาวมุสลิม และยังมีบทลงโทษบางกรณีจะถูกบังคับใช้ทั้งกับมุสลิมและผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม เช่น โทษประหารชีวิตสำหรับผู้ที่ดูหมิ่นท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลลั๊ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นต้น

สุลต่านบรูไนทรงมีพระราชดำรัสเนื่องในวันพุธ(3 เมษายน)โดยทรงเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด

“ข้าพเจ้าอยากจะเห็นหลักคำสอนของอิสลามในประเทศนี้เข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม” สมเด็จพระราชาธิบดีทรงมีพระราชกระแสรับสั่งถ่ายทอดสดจากศูนย์ประชุมใกล้ๆ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน

“ข้าพเจ้าขอย้ำว่า บรูไนเป็นประเทศที่อุทิศตนเพื่อการเคารพภักดีต่อองค์อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา”

กษัตริย์บรูไนตรัสด้วยว่า ทรงมีพระราชประสงค์จะให้เสียง ‘อาซาน’ เชิญชวนสู่การละหมาดดังขึ้นในสถานที่สาธารณะทุกแห่ง ไม่ใช่แค่เพียงในมัสยิดเท่านั้น เพื่อเตือนให้ชาวมุสลิมได้รำลึกถึงหน้าที่ที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า

อย่างไรก็ตาม สุลต่าน ฮัสซานัล โบลเกียห์ ซึ่งครองสิริราชสมบัติมานานกว่า 5 ทศวรรษ ทรงยืนยันว่าบรูไนยังคงเป็นประเทศที่มีความ “เป็นธรรม และมีความสุข”

“ใครก็ตามที่มาเยือนที่นี่จะได้รับประสบการณ์ที่แสนหวาน และมีความสุขกับบรรยากาศที่ปลอดภัยและผสมผสานกลมกลืน” 

เจ้าหน้าที่กระทรวงกิจการศาสนาของบรูไนยืนยันกับ AFP ว่า กฎหมายอาญาใหม่เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วในวันพุธ (3)

“ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้แถลงไปเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ ดังนั้น วันที่ 3 เมษายน จึงเป็นวันที่เริ่มบังคับใช้กฎหมาย”

การประกาศใช้กฎหมายอิสลามของบรูไนถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้สนับสนุนความวิปริตทางเพศ โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ออกมาประณามว่าเป็นบทลงโทษที่ “ป่าเถื่อนและไร้มนุษยธรรม” ขณะที่บรรดาเกย์ชั้นนำของโลก จอร์จ คลูนีย์ และ เซอร์ เอลตัน จอห์น ออกมาเรียกร้องให้บอยคอตโรงแรมที่ราชวงศ์บรูไนเป็นเจ้าของ

ฟีล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรต์วอตช์ประจำภูมิภาคเอเชีย อ้างว่าการปาหินจนตายนั้น “ป่าเถื่อนอย่างที่สุด” และเป็นการ “นำบทลงโทษยุคโบราณมาใช้กับการกระทำที่ไม่ควรถือเป็นอาชญากรรมด้วยซ้ำ”

สุลต่านบรูไนทรงประกาศจะนำกฎหมายชารีอะห์มาบังคับใช้แบบเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ปี 2013

กฎหมายใหม่กำหนดระวางโทษประหารชีวิตด้วยการปาหินสำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์สำหรับผู้ที่ไม่ใช่สามีภรรยากัน และแบบชายรักชาย ส่วนกลุ่มหญิงรักหญิงจะมีโทษเฆี่ยนสูงสุด 40 ที หรือจำคุกสูงสุด 10 ปี

รัฐบาลบรูไนเริ่มบังคับใช้กฎหมายส่วนแรกเมื่อปี 2014 โดยเป็นบทลงโทษสำหรับความผิดสถานเบา เช่น การปรับเงินหรือจำคุกผู้ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสม เช่น ไม่ไปละหมาดวันศุกร์ เป็นต้น แต่ก็แทบไม่มีผู้กระทำผิด

ทั้งนี้บรูไนเป็นประเทศที่มีบทลงโทษรุนแรงสำหรับผู้กระทำความผิด โดยมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต แต่ทว่าประเทศที่สงบแห่งนี้ไม่เคยมีผู้กระทำความผิดถึงขั้นต้องคำพิพากษาประหารชีวิตมากว่าครึ่งศตวรรษ

ความคิดเห็น

comments