เมื่อวันเสาร์ที่ (27 กรกฎาคม) ผ่านมา นางมิเชล บาเชเลต ผู้อำนวยการด้านสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ระบุในแถลงการณ์ฉบับหนึ่ง ในนครเจนีวา ประเทศสวิตเตอร์แลนด์ ซึ่งอ่านโดยนายรูเพิร์ต คอลวิลล์ โฆษกของเธอเมื่อวันศุกร์ว่า การโจมตีทางอากาศของกองทัพบาชาร์ อัล-อัสซาด และพันธมิตร(รัสเซีย) ถล่มโรงเรียน, โรงพยาบาล, ตลาด และโรงงานผลิตขนมปังหลายแห่งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตไปอย่างน้อย 103 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ มีเด็กรวมอยู่ด้วย 26 ราย
กองกำลังติดอาวุธของระบอบอัสซาดได้เริ่มเปิดฉากโจมตีพื้นที่ปลอดภัยแห่งสุดท้ายที่เป็นที่พักของผู้ผลัดถิ่นกว่า 3 ล้านคนในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยภายใต้การรับประกันของตุรกี และรัสเซียตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา แต่ทว่านับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ระบอบการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาด และรัสเซียในฐานะผู้ค้ำประกันความปลอดภัย ได้เปิดฉากโจมตีพื้นที่พลเรือนของชาวซีเรียแห่งนี้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยอ้างว่า กำลังตอบโต้การละเมิดข้อตกลงของนักรบในพื้นที่
เมื่อปีที่แล้ว เมืองอิดลิบ และพื้นที่โดยรอบของภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ถูกรวมอยู่ในข้อตกลง “ลดความรุนแรง”ระหว่างรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของประธานาธิบดีอัสซาด กับตุรกี ซึ่งสนับสนุนชาวซีเรียในพื้นที่ เพื่อลดการต่อสู้และการทิ้งระเบิดโจมตี แต่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา การต่อสู้ได้ผลักให้ประชาชนหลายหมื่นคน ต้องทิ้งบ้านเรือนหลบหนี หรือไปอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว เพื่อขอลี้ภัยใกล้พรมแดนกับตุรกี และมีพลเรือนหลายร้อยคนเสียชีวิตจากกรโจมตี จากตัวเลขของกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนซีเรีย
The first moments of White Helmets teams rescuing a girl and a man from under the rubble alive, in #Ariha City southern of #Idlib, after regime’s airstrikes targeted the city this morning. pic.twitter.com/mLHjmJubZi
— The White Helmets (@SyriaCivilDef) July 27, 2019