ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยกว่า 1,000 คนเสียชีวิตในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในปีนี้ นับเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันที่ “เหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงนี้” ได้เกิดขึ้นแล้ว
หน่วยงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ UNHCR เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) เพื่อเปิดใช้งานการค้นหา และช่วยเหลืออีกครั้ง และยอมรับบทบาทสำคัญของเรือเอกชนของกลุ่มช่วยเหลือในการช่วยชีวิตผู้อพยพทางทะเล
“โศกนาฏกรรมของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมันเป็นสิ่งรับไม่ได้ที่จะเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไป” ชาร์ลียาซ์ลีย์โฆษกของข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) กล่าวในแถลงการณ์
สำนักข่าวของโมร็อกโกรายงานว่าศพของผู้อพยพ 5 คนถูกพบบนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกใกล้กับเมืองคาซาบลังกาในวันจันทร์ทำให้มีผู้เสียชีวิต 12 รายเมื่อเรือผู้อพยพล่มเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
สหภาพยุโรปได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาลตุรกีในปี 2559 เพื่อสกัดกั้นผู้ลี้ภัย และผู้อพยพจากตุรกีเข้าสู่กรีซ ส่งผลให้ตัวเลขขาออกลดลงอย่างมากจากยอดสูงสุดมากกว่า 1 ล้านคนในปี 2558 เหลือเพียง 78,000 คนจนถึงปีนี้
“แน่นอนว่าจำนวนคนที่พยายามข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนนั้นลดลงมาก ดังนั้นการชี้ให้เห็นถึงความจริงที่ว่าการเดินทางด้วยตัวเองนั้นมีความอันตรายมากกว่า” Liz Throssell โฆษกหญิงของยูเอ็นเอชซีอาร์กล่าวกับรอยเตอร์
“เป็นสิ่งที่ควรย้ำว่า 70% ของการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตอนกลางนั่นคือคนที่พยายามจะเดินทางจากลิเบียข้ามไปยังอิตาลีหรือมอลตา”
มากกว่า 18,000 คนเสียชีวิตในการข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาตั้งแต่ปี 2014 จากข้อมูลทั้ง UNHCR และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ของสหประชาชาติ
ในขณะเดียวกันยามฝั่งของลิเบียกล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่ามีผู้ลักลอบเข้าเมืองประมาณ 300 คนจากชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
การแถลงเมื่อวันอังคาร(1 ตุลาคม)ของ Ayoub Gassim โฆษกยามฝั่งกล่าวว่าเรือยางกับผู้อพยพชาวแอฟริกา 31 คนถูกสกัดในวันอาทิตย์จากเมือง Sabratha ทางตะวันตก
Sabratha เป็นหนึ่งในจุดลักลอบเดินทางออกสู่ทะเลของผู้อพยพจำนวนมากที่ต้องการเดินทางข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเป็นอันตราย
Gassim กล่าวว่าแรงงานข้ามชาติถูกนำตัวไปยังศูนย์กักกันในเมืองทางตะวันตกของซาวิยะ
