สมาชิกสภาและชาวบ้านในรัฐยะไข่ ระบุว่า มีสตรีชาวโรฮิงญา 2 คนเสียชีวิต โดยหนึ่งในนั้นกำลังตั้งครรภ์ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 7 คน หลังทหารพม่ายิงปืนใหญ่ใส่หมู่บ้านโรฮิงญาในวันเสาร์ (25) หลังศาลสูงสุดของสหประชาชาติมีคำสั่งให้พม่าปกป้องคุ้มครองชาวโรฮิงญาเพียงไม่กี่วัน
หม่อง จ่อ ซาน สมาชิกสภาเมืองบุติด่อง พื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ กล่าวว่า กระสุนที่ระดมยิงมาจากกองพันที่อยู่ใกล้ๆ ได้โจมตีเข้าใส่หมู่บ้านคินต่องในช่วงกลางดึก ซึ่งเป็นหน่วยทหารที่ถูกส่งเข้ามาสู้กับกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาวพุทธยะไข่นานกว่า 1 ปี
“ไม่มีการสู้รบเกิดขึ้นที่นี่ พวกเขาแค่ยิงปืนใหญ่ใส่หมู่บ้านทั้งที่ไม่มีการสู้รบ” หม่อง จ่อ ซาน กล่าวกับรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ และเสริมว่า เป็นครั้งที่ 2 ในช่วงเวลาไม่ถึงเดือนที่พลเรือนถูกสังหาร
ทหารปฏิเสธความรับผิดชอบและกล่าวโทษกลุ่มกบฏชาวพุทธยะไข่ที่ทหารกล่าวหาว่า โจมตีสะพานในเวลาเช้ามืด
ชาวมุสลิมโรฮิงญามากกว่า 740,000 คน จำต้องหลบหนีออกจากพื้นที่ตอนเหนือของรัฐยะไข่ในปี 2560 หลังการปราบปรามของทหารที่สหประชาชาติระบุว่าเป็นการปราบปรามที่มีเจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
หลังจากชาวโรฮิงญาจำนวนมากหนีตายออกจากพื้นที่ ทหารพม่าได้อ้างกลุ่มติดอาวุธชาวพุทธยะไข่ขึ้นมาเป็นคู่ต่อสู้ใหม่ในภูมิภาค ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้ประชาชนหลายหมื่นคนต้องพลัดถิ่นและเสียชีวิตอีกหลายสิบ
ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนยังคงอยู่ในรัฐยะไข่ แต่ไม่สามารถเดินทางได้อย่างเสรี หรือเข้าถึงการดูแลสุขภาพและการศึกษา พวกเขาติดอยู่กลางการสู้รบ และการจำกัดการเดินทาง หมายความว่า พวกเขาจะสามารถเดินทางหลบหนีการโจมตีของกองกำลังติดอาวุธได้น้อยกว่าเพื่อนบ้านชาวพุทธ
ในช่วงต้นเดือน มกราคม มีเด็กโรฮิงญา 4 คน เสียชีวิตในเหตุกับระเบิดที่ทหารและกลุ่มกบฏชาวพุทธยะไข่ต่างกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามวางทิ้งไว้ในพื้นที่
โฆษกทหาร 2 นาย ที่รอยเตอร์ติดต่อเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์การเสียชีวิตในวันเสาร์ไม่ตอบรับโทรศัพท์ ส่วนในคำแถลงที่โพสต์บนเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ของรัสเซีย กองทัพพม่ายืนยันเหตุเสียชีวิต แต่กล่าวโทษกลุ่มติดอาวุธชาวพุทธยะไข่ในชื่อกองทัพอาระกัน โดยระบุว่า ปืนใหญ่ของกองทัพอาระกันยิงโดนหมู่บ้านระหว่างการปะทะ
โซ ตุน อู ชาวโรฮิงญาที่อาศัยห่างจากหมู่บ้านดังกล่าวราว 1 ไมล์ กล่าวกับรอยเตอร์ทางโทรศัพท์ว่า บ้าน 2 หลัง ถูกทำลายจากแรงระเบิด
“ทหารมักโจมตีด้วยอาวุธหนักเสมอ พวกเขายิงอาวุธหนักรอบพื้นที่ที่พวกเขาสงสัย ถึงเราจะกลัวมากแค่ไหนแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีไปที่อื่น” โซ ตุน อู กล่าว
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรุงเฮกมีคำสั่งให้พม่าปกป้องโรฮิงญาจากการกระทำทารุณต่างๆ และรักษาหลักฐานของอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา หลังแกมเบียยื่นฟ้องคดีในเดือน พฤศจิกายน ระบุว่าพม่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมโรฮิงญา
โฆษกของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยกล่าวกับรอยเตอร์ว่า พม่าได้ดำเนินการปกป้องโรฮิงญาอยู่แล้ว แต่รัฐบาลพลเรือนไม่มีอำนาจควบคุมกองกำลังทหาร