ชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 5 รายเสียชีวิต และอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บ หลังกองกำลังทหารพม่าปะทะกับกลุ่มติดอาวุธชาวพุทธยะไข่ ตามการเปิดเผยของสมาชิกสภาและคนในพื้นที่วันอาทิตย์ (1 มีนาคม)
การต่อสู้ในวันเสาร์ (29 กุมภาพันธ์) ปะทุขึ้นหลังกลุ่มกบฎกองทัพอาระกันของชาวยะไข่โจมตีขบวนรถของทหารที่ขับผ่านเมืองมะรัคอู ตามการระบุของ ตุน ธา เส่ง สมาชิกสภาท้องถิ่น และข่าย ทู ข่า โฆษกกองทัพอาระกัน
ข่าย ทู ข่า โฆษกกองทัพอาระกันผู้ก่อเหตุโจมตีขบวนรถทหาร กล่าวโทษกองกำลังทหารเป็นผู้ทำให้พลเรือนบาดเจ็บล้มตาย
โฆษกของกองทัพอาระกันระบุในข้อความว่า ปืนใหญ่ของกองทัพพม่ายิงเขาใส่หมู่บ้านบูตาโลน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน
สมาชิกสภา และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บ และชาวบ้านรายหนึ่งกล่าวว่า มีโรฮิงญาอย่างน้อย 5 คนเสียชีวิต โดยหนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายอายุ 12 ปี
รัฐยะไข่เป็นรัฐที่ชาวโรฮิงญามากกว่า 730,000 คน ต้องอพยพหลบหนีตายไปบังกลาเทศจากการปราบปรามของทหารในปี 2560 ที่สหประชาชาติชี้ว่าเป็นเจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
โรฮิงญาหลายแสนคนยังคงอยู่ในพม่า หลายคนถูกจำกัดอยู่แต่ในค่ายพัก และหมู่บ้านที่พวกเขาติดอยู่กลางการต่อสู้ครั้งใหม่ระหว่างทหารและกองทัพอาระกัน ที่เกณฑ์กำลังมาจากชาวพุทธในพื้นที่ ที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองจากรัฐบาลกลาง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ยังทำให้ประชาชนหลายหมื่นคนต้องพลัดถิ่น และเสียชีวิตอีกหลายสิบ และหลายครั้งความสูญเสียเกิดกับชาวโรฮิงญาทั้งที่พวกเขาไม่ใช่คู่ขัดแย้ง
ตุน ธา เส่ง สมาชิกสภามะรัคอู กล่าวว่า กองกำลังทหารตอบโต้ด้วยการยิงปืน และปืนใหญ่ใน 2 หมู่บ้านเมื่อวันเสาร์ (29) หลังกลุ่มกบฎยะไข่โจมตีขบวนรถของทหาร
“ในการตอบโต้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทหารเริ่มยิงเข้าใส่พื้นที่ต้องสงสัย” ตุน ธา เส่ง กล่าว
ในยะไข่นักข่าวถูกห้ามเดินทางเข้าไปยังพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือของรัฐ ที่ถูกตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตมานานถึง 8 เดือน ด้วยข้ออ้างด้านความปลอดภัย
ชาวโรฮิงญาหลายแสนคนยังคงอยู่ในยะไข่ในสภาพที่ถูกจำกัดในสภาพเลือกปฏิบัติ ไม่สามารถเดินทางได้อย่างเสรี หรือเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขและการศึกษา
“เราออกไปข้างนอกไม่ได้ ไปที่ไหนก็ไม่ได้ เราอยู่แค่ในหมู่บ้านของพวกเรา ผมรู้สึกว่าไร้ความหวังหากการต่อสู้ยังเกิดขึ้นต่อไปเช่นนี้” ชาวโรฮิงญาในพื้นที่ กล่าว