สำนักจุฬาราชมนตรีได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง แนวทางการปฏิบัติตนในสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ (COVID-19)
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติตเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ที่กำลังขยายพื้นที่การแพร่ระบาดไปยังหลายประเหศทั่วโลก จนทำให้องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ยกระดับ การเตือนภัยการระบาดของโรคฯ ในระดับ “สูงมาก” และกรมควนดุมโรค กระทรวงสาธารณสุขมีความกังวล ว่าสถานการณ์ในประเทศไทยอาจเข้าสู่การระบาตระยะที่ 3 นั้น
ในการนี้ เพื่อป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVD-19) ให้สัมฤทธิ์ผล และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากการปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขแลัว สำนักจุหาราชมนตรีไคร่ขอความร่วมมือมุสลิมทุกคนได้ยึดแนวทางการปฏิบัติตนในสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคดังกล่วด้วยความเคร่งครัด ดังนี้
1.หลีกเลี่ยงการสลามตัวยการสัมผัสมือ การสวมกอด และการสัมผัสแก้ม โดยให้ยกมือสลาม กันเท่านั้น
2.สำหรับศาสนสถาน (มัสยิด)ให้ผู้ดูแลสถานที่ปฏิบัติ ตังนี้
2.1.จัดให้มีการทำความสะอาดอุปกรณ์ และบริเวณที่มีผู้สัมผัสปริมาณมาก เช่น ราวบันได ถูกบิดประตู ห้องน้ำ ด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำผงซัฟอก และแอลกอฮอส์ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างสม่ำเสมอ และบ่อยกว่าปกติ
2.2.หมั่นทำความสะอาดมัสยิดหรือสถานที่ละหมาด พรมปูละหมาตในมัสยิต ผ้าปูสำหรับละหมาต ตลอดจนชุดที่เตรียมไว้สำหรับไส่ละหมาต ต้วยผงซัพ่อกหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ หรืองดการใช้ และเก็บชุด และพรมดังกล่าว
2.3.จัดหาเจลงมือแอลกอฮอล์ และหนักากอนามัยไว้บริเวณภายในมัสยิต เช่น ประตู ทางเข้า จุดประชาสัมพันธ์ ห้องสุขา จุดปฐมพยาบาล เป็นต้น
3.หลีกเลี่ยงหรืองดการจัตกิจกรรมสาธารณกุศล การจัดค่ายอบรมเยาวชน การจัด ประชุมสัมมนา หรือกิจกรรมอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องจัดกิจกรรม ให้ผู้จัดเตรียมความพร้อนในการคัดกรองผู้เข้าร่วมกิจกรรม และมีมาตรการในการป้องกัน และควบคุมโรค ที่เข้มงวด สำหรับผู้เช้าร่วมกิจกรรมให้สวมใส่หนักากอนามัยทุกครั้ง และปฏิบัติตามแนวทางป้องกัน การแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด
4.ศาสนาอนุญาตให้สวมไส่หน้ากากอนามัยขณะละหมาตในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ โรคติตต่อ และหากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก แม้จะมีอาการไม่มาก ให้งดการไปร่วมละหมาตญะมาอะห์ หรือละหมาตวันศุกร์ที่มัสยิด
5.งดการรับประหานอาหารแบบถาดรวม ให้แบ่งไส่ภาชนะที่ใช้เฉพาะของตนเอง และงดการรับประทานอาหารแบบใช้มือป้อน โดยให้ใช้ช้อนที่ใช้ฉพาะของตนเอง หรือล้ำงมีอให้สะอาด และ ใช้ช้อนกลางในการรับประหานอาหาร
6.งดการอาบน้ำละหมาตในบ่อน้ำหรืออ่างใหญ่ร่วมกัน โดยให้ใช้ภาชนะส่วนตัวตัก หรือ ใช้ก๊อกน้ำแทน
7.การตะย์นึกเปิดปากเด็กทารกแรกเกิด ใหล้างทำความสะอาดมือเป็นอย่างดี
8.ขอควมร่วมมือผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุ หากมีอาการหวัด ให้ไปพบแพหยโดยด่วน ส่วนผู้ที่เดินหางกลับเข้ามา ในประเหศไทยในเดือนมีนาคม ให้พักอยู่บ้าน 14 วัน และพยายามอยู่ห่างจากคนอื่นประมาณ 1 เมตร ทั้งนี้ เพื่อเฝ้าดูอาการ และรายงานอาการให้เจ้าหน้ที่สาธารณสุขรับทราบทุกระยะ
9.ให้นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่เดินทางไปออกดะวะห์ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และประเทศที่พบผู้ปวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศอิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมีเรตส์ ให้รีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือไปพบแพหย์โดยด่วน
10.ให้ทุกคนมีความอดทนต่อสถานการณ์ที่กิดขึ้น และวิงวอนขอดุอา (ขอพร) จากอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า ให้การทดสอบครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี หมั่นขออภัยโทษต่อพระองต์ เพราะการขออภัยโทษ เป็นประจำจะทำให้ภัยพิบัติต่าง ๆ หมดไป และทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้นในการเชิญกับภัยพิบัติเหล่านั้น
เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโรคติตเชื้อไวรัสโคโรนำสายพันธ์ใหม่ (COVD-19) ได้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง มีผู้ติตเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น จึงถือได้ว่าเป็นโรคระบาดที่ต้องปฏิบัติตาม คำแนะนำอย่างเคร่งครัด ดังเจตนารมณ์ของหลักนิติศาสตร์อิสลามที่ว่า
“ปัดป้องสิ่งที่จะก่อให้กิดความเสียหายก่อนที่จะกระทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์” และ “ให้แบกรับความเสียหายส่วนตน เพื่อปกป้องมิให้เกิตความเสียหายต่อส่วนรวม”
และวจนะศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ความว่า “เมื่อรู้ว่าแผ่นดินไดเกิดโรคระบาด ก็จงอย่าใด้เข้าไปยังแผ่นดินนั้น และหากแผ่นดิน ที่อาศัยอยู่เกิดโรคระบาด ก็จงอย่าได้ออกจากแผ่นดินนั้น” (รายงานโดย อิหม่ามบุคอรี)
ดังนั้น การปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นในการระวังป้องกันมิให้โรคระบาดดังกล่าว แพร่กระจาย ถือเป็นศาสนบัญญัติที่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ดังพจนารถแห่งอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ความว่า
“และพวกเจ้าอย่าได้สังหารตนเอง โดยกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป อันเป็นเหตุ ให้พวกเจ้าต้องเสียชีวิตในโลกนี้ แท้จริงอัลลอนั้นทรงโปรดปรานยิ่งต่อพวกเจ้าในประการที่ ทรงห้ามพวกเจ้ามิให้สังหารตนเอง” (บทอันนิสาอ์ โองการที่ 29)
และอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า มิได้ให้เกิดความยากลำบากในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา แก่บ่าวของพระองค์ ดังพจนารถแห่งพระองค์ ความว่า
“อัลลอฮ์ทรงเลือกเฟ้นพวกเจ้าแล้วให้เป็นกลุ่มชนแรกที่นำศาสนาของพระองค์ สู่ชาวโลกทั้งมวล และพระองค์มิได้ให้พวกเจ้าเกิดความยากลำบากในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา” (บทอัลฮัจญ์ โองการที่ 78)
สำนักจุฬาราชมนตรี
๕ มีนาคม ๒๕๖๓