การแข่งขันทางเศรษฐกิจและทางยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อรัฐอ่าวอาหรับ ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอมิเรตส์ ที่กล่าวกับผู้เข้าร่วมประชุมในวันที่สองของการประชุมนโยบายโลกครั้งที่ 14 ที่อาบูดาบี

อาหรับนิวส์รายงานว่า Anwar Gargash ที่ปรึกษาทางการทูตของประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่าการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ต้องตัดสินใจเลือกที่เป็นไปไม่ได้เกี่ยวกับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ และทางธุรกิจ

Gargash เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศออกมาแสดงความคิดเห็นต่อต้านแรงกดดันดังกล่าว เพื่อไม่ให้กลายเป็นเบี้ยในสงครามเย็นครั้งใหม่ “ผมคิดว่าหากข้อความนี้ส่งไปถึงจีน-อเมริกัน และคนอื่น ๆ ผมคิดว่าสิ่งนี้(ความขัดแย้ง)มันถูกสร้างขึ้นมาเอง ผมเรียกร้องให้มีการสร้างกลุ่มธรรมขึ้น” เขากล่าวเมื่อวันเสาร์

“เราทุกคนต่างกังวลอย่างมากจากสงครามเย็นที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นเป็นข่าวร้ายสำหรับพวกเราทุกคนเพราะความคิดในการเลือกเป็นปัญหาในระบบสากล และผมคิดว่านี่จะไม่ง่ายเลย”

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และประเทศอื่นๆ ในอ่าวอาหรับเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มายาวนาน อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นจีนได้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญทางเศรษฐกิจรายใหม่ที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาค และความกระหายในน้ำมันดิบทำให้จีนกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดของอ่าวอาหรับ ทำให้ประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ไม่ง่ายนักในการตัดสินใจเลือกข้าง 

“นี่จะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเราทุกคน” Gargash กล่าว “สำหรับเราในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกาเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่โดดเด่นของเรา แต่จีนเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งหรือสองของเรากับอินเดีย”

แม้ว่าชาวจีนจะให้โอกาสทางการค้าและหุ้นส่วนทางธุรกิจที่ร่ำรวย แต่ Gargash บอกเป็นนัยว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ถือว่าชาวอเมริกันเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่โปร่งใสมากกว่า

“จีนจะยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง” Gargash กล่าว “ในขณะที่ทิศทางของอเมริกาเป็นสิ่งที่คุณสามารถรวบรวมได้จากการอ่าน การประชุม และการอภิปรายต่างๆ ผมคิดว่าการเข้าใจทิศทางของจีนนั้นมีความชัดเจนน้อยกว่า”

นับตั้งแต่สงครามการค้ากับนโยบายเศรษฐกิจของจีนได้พัฒนาไปสู่การปะทะกันระหว่างอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน นำไปสู่ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้และความแตกแยกระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรยุโรปดั้งเดิม 

ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างสหรัฐฯ กับจีนตกต่ำลงในปี 2018 เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะนั้นตั้งกำแพงภาษีกับจีน ตามมาด้วยข้อจำกัดในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีของสหรัฐฯ และการลงทุนจากต่างประเทศของจีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อกังวลด้านความปลอดภัย และข้อกล่าวหาเรื่องแนวทางปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของจีน

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้สานงานต่อนโยบายของทรัมป์ด้วยการเสริมสร้างพันธมิตรที่ต่อต้านจีน และดำเนินการคว่ำบาตรเพิ่มเติม จากการเปิดหน้าสงครามเย็น ที่ไบเดนมองว่าความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเป็น “การต่อสู้ระหว่างประโยชน์ของประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 21 กับระบอบเผด็จการ”

นักวิเคราะห์เชื่อว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนถูกขับเคลื่อนน้อยลงโดยความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ และมากขึ้นโดยการแข่งขันทางอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งรุนแรงขึ้นจากความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของกันและกัน 

Gargash เน้นย้ำถึงผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่มีต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยชี้ว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในความร่วมมือที่มากขึ้นมากกว่าการเผชิญหน้า

“เราเห็นหลายมิติของการเปลี่ยนแปลงในระบบระหว่างประเทศ” เขากล่าว “ในอีกด้านหนึ่ง ผมคิดว่าการระบาดใหญ่ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าการจัดลำดับความสำคัญเชิงภูมิศาตร์ของเราต้องไม่เพียงแค่เรื่องการเมืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเด็นอื่นๆ ด้วย”

“ที่จริงแล้ว เราต้องการความเข้าใจจากเราทุกคน … ว่าการเผชิญหน้าไม่ใช่หนทางข้างหน้า และการสื่อสารคือหนทางข้างหน้า”

“ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถเปลี่ยนการรับรู้ของอิหร่านเกี่ยวกับบทบาทของอิหร่านในภูมิภาคนี้ หรือการรับรู้ของตุรกีเกี่ยวกับบทบาทของเขาในภูมิภาคนี้ หรือวิธีที่เรามองโลกอาหรับ และวิธีที่มันจะกลับมาสู่ภูมิภาคที่มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น. แต่ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องเข้าใจด้วยว่าการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง”

ความคิดเห็น

comments

By admin