ภาพยนตร์เรื่อง Lightyear ล่าสุดของ Disney และ Pixar’s ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 16 มิถุนายน ถูกแบนในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเป็นเสรีนิยมมากที่สุดในโลกอาหรับ เนื่องจากเนื้อหา และฉากที่ส่งเสริมความสัมพันธุ์ของกลุ่มรักร่วมเพศ
นอกจาก UAE แล้วยังมีอีกไม่น้อยกว่า 14 ประเทศทั่วตะวันออกกลางและเอเชีย รวมทั้งเลบานอน อียิปต์ คูเวต และมาเลเซีย ต่างก็สั่งห้ามฉายภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน
ในขณะที่หน่วยงานด้านสื่อของซาอุดิอาระเบียยังไม่ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในกรณีดังกล่าว
สำนักงานกำกับดูแลสื่อของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กล่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกแบนเนื่องจากละเมิด “มาตรฐานเนื้อหาสื่อของประเทศ”
ตามรายงานของ industry magazine Variety ระบุว่า “Lightyear” ไม่เคยถูกเซ็นเซอร์ในซาอุดิอาระเบีย สันนิษฐานว่าเป็นเพราะผู้ผลิตคิดว่าจะไม่ผ่านการตรวจสอบอยู่แล้ว
เหตุผลที่แท้จริงสำหรับความขัดแย้งในภาพยนตร์เรื่องนี้เชื่อกันว่ามาจากฉากหนึ่งที่มีการแสดงบททางเพศของตัวการ์ตูนเพศเดียวกันระหว่างตัวละครของ Alisha Hawthorne กับตัวละครที่เป็นเพื่อนหญิง ซึ่งเป็นฉากที่แทบจะไม่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เลย
เมื่อวันที่ 9 มีนาคม กลุ่ม LGBTQ+ และนักรณรงค์ที่ Pixar Animation Studios ได้ส่งคำแถลงร่วมกับผู้บริหารของ Walt Disney Co. โดยอ้างว่าผู้บริหารของ Disney ได้เซ็นเซอร์ “ความรักแบบเปิดเผย” ในภาพยนตร์ของพวกเขา ตามแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับการผลิต รายงานว่าฉากจูบถูกตัดออกจากภาพยนตร์ แต่ถูกนำกลับเข้ามาฉายตามข้อเรียกร้องของคนกลุ่มนี้
ในรายงานวิดีโอที่มีคนแชร์กันอย่างกว้างขวางของช่อง Al-Ekhbariya สถานีข่าวของรัฐซาอุดิอาระเบียรายงานว่าได้มีการเรียกเก็บของเล่นธงสีรุ้งซึ่งมุ่งเป้าไปที่เด็กเยาวชนของซาอุดีอาระเบีย
นักข่าวในวิดีโอถามว่า: “ทำไมผู้ผลิตภาพยนตร์ เช่น ดิสนีย์ ยืนยันที่จะไม่ลบฉากจูบเพศเดียวกันที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที? และทำไมพวกเขาถึงเสี่ยงที่จะทำให้ทั้งตลาดไม่สนับสนุนสิ่งนี้อย่างชัดเจน”
ในขณะที่การแบนได้รับการตอบโต้โดยอ้างว่าเป็นโอกาสของผู้ชมในการใช้วิจารณญาน แต่การแบนก็ได้รับการสนับสนุนที่กระตือรือร้นอย่างแข็งขันเช่นกัน
“Umm Lilly” พลเมืองซาอุดิอาระเบียที่มีลูกสาววัย 9 ขวบกล่าวว่าเธอรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ควรปล่อยให้ดู
เธอบอกกับอาหรับนิวส์ว่า “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มต้นที่ไหน ฉันอยากให้ลูกสาวของฉันวาดและระบายสีสายรุ้งและดูหนังของดิสนีย์ ความไร้เดียงสา ไม่จำเป็นต้องมีข้อความชี้นำในนั้น เธอเป็นแค่เด็ก”
ตามที่ผู้ใช้ Twitter บางคนชี้ให้เห็นว่า มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างมากระหว่างประเทศตะวันตกและตะวันออกกลางและเอเชีย ความแตกต่างที่ควรค่าแก่การเคารพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยบริษัทขนาดใหญ่และมีอิทธิพลอย่างดิสนีย์
“มีเนื้อหาที่อ่อนไหวต่อประชากรอย่างมากในภูมิภาคนี้ และฉันคาดหวังว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตเนื้อหาทั่วโลกแบ่งปันแนวคิดที่ไม่ได้รับการสนับสนุน หรือจะได้รับการสนับสนุนในตะวันออกกลาง” Alex Malouf ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารกล่าวกับอาหรับนิวส์
อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาคนหนึ่งของคณะกรรมการสื่อของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย เปิดเผยว่าการวิเคราะห์ดังกล่าวโดยสิ่งที่เขาเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อและผู้ใช้ Twitter นั้นทั้ง “ตื้น และไม่ต่อเนื่อง”
ที่ปรึกษาด้านสื่อบอกกับอาหรับนิวส์ว่า “อย่างแรก ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่การจูบกับเพศเดียวกันเท่านั้น ปัญหาที่มีการเซ็นเซอร์ส่วนใหญ่ในโลกอาหรับและที่อื่น ๆ เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันเป็นปกติหรือปัญหาเรื่องคนข้ามเพศสำหรับเด็กที่ยังไม่โตพอที่จะเข้าใจอย่างเต็มที่แล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“ผู้ที่เรียกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อหรือผู้ใช้ Twitter ชี้ว่าดิสนีย์ ควรให้ความสำคัญต่อความอ่อนไหว เพราะโลกอาหรับหรือมุสลิมมีค่านิยมต่างกัน ทั้งเหินห่าง และขาดการติดต่อกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในอเมริกานั่นเอง”
“มีการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ที่แสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์คัดค้านวาระซ่อนเร้นในภาพยนต์ของดิสนีย์ มีแนวโน้มอย่างมากในหมู่พลเมืองสหรัฐฯ ที่จะยกเลิกการสมัครสมาชิก Disney+ รวมทั้งครอบครัวที่ไม่ใช่ชาวอาหรับและไม่ใช่มุสลิม โดยระบุว่าดิสนีย์ไม่ใช่แพลตฟอร์มที่ปลอดภัยสำหรับลูกๆ ของพวกเขาอีกต่อไป” พร้อมเสริมว่านี่แสดงให้เห็นถึงการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนเกี่ยวกับเนื้อหาของดิสนีย์ที่ไม่ได้มีปัญหาเฉพาะภูมิภาคตะวันออกกลาง
ความคิดเห็นของที่ปรึกษาสื่อซาอุดีอาระเบียถือเป็นความจริง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
การศึกษาล่าสุดที่เขาอ้างถึงดำเนินการโดย Trafalgar Group ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจความคิดเห็น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันเกือบ 70 เปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วยกับวาระแฝง LGBTQ+ ของดิสนีย์ และไม่สนับสนุนธุรกิจของดิสนีย์
เมื่อสองวันก่อน แคมเปญที่ให้ดิสนีย์ถูกวิจารณ์อย่างหนักมาจากป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ในไทม์สแควร์ของนครนิวยอร์กในชื่อ “No Mouse In My House”
มีการออกแคมเปญ Rock the Woke เรียกร้องให้ผู้คนคว่ำบาตรดิสนีย์สำหรับ “อุดมการณ์ทางการเมืองฝ่ายซ้ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงสำหรับเด็กและครอบครัว”
ในขณะเดียวกันในฟลอริดา ร่างกฎหมายที่ขัดขวางการศึกษาเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศในชั้นอนุบาลจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ได้ผ่านร่างกฎหมายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ร่างกฎหมายนี้ไม่เห็นด้วยกับผู้สนับสนุน LGBTQ+ และผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมบันเทิง ไม่ต้องพูดถึงนักการเมืองจากพรรคเดโมแครตและแม้แต่ทำเนียบขาว
อย่างไรก็ตาม ดิสนีย์เลือกที่จะเงียบ อย่างไรก็ตาม พนักงานของบริษัทใช้โซเชียลมีเดียเพื่อแสดงความไม่พอใจและแม้กระทั่งเดินออกจากสำนักงานทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อตอบโต้ต่อการขาดการตอบสนองของ CEO Bob Chapek
จุดยืนของบริษัท มีความสำคัญเนื่องจากมีพนักงานดิสนีย์หลายหมื่นคนในฟลอริดาซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนสนุกและรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดในโลกของดิสนีย์
ภาพยนตร์หลายเรื่องถูกห้ามหรือเซ็นเซอร์ในตะวันออกกลางแล้ว “Eternals” ของ Marvel ได้รับการแก้ไขอย่างหนัก เพื่อตัดฉากความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันในเลบานอนออก และห้ามไม่ให้ฉายในโรงภาพยนตร์ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และคูเวต
ภาพยนตร์เช่น “West Side Story” และ “Doctor Strange in the Multiverse of Madness” ก็ถูกแบนในหลายประเทศทั่วทั้งภูมิภาค รวมถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากมีการรวมตัวละครข้ามเพศ และรักร่วมเพศ
แม้ต่อมา UAE ได้ยกเลิกการแบน “Doctor Strange in the Multiverse of Madness” โดยเลือกใช้การจัดอันดับ 21+ แทน

