สงครามของอิสราเอลในฉนวนกาซาเป็นประเด็นสำคัญของการดีเบตครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดนผู้นำคนปัจจุบันและอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างพยายามเอาชนะอีกฝ่ายโดยวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของอิสราเอล ตามรายงานของสำนักข่าว Anadolu
ในคืนวันพฤหัสบดี ผู้ดำรงตำแหน่งและผู้ท้าชิงผู้นำสหรัฐฯ ได้แลกเปลี่ยนถ้อยคำเสียดสีและคุยโวถึงทุกวิธีที่พวกเขาช่วยเหลืออิสราเอล พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนต่อไป และแสดงความคิดเห็นที่เรียกความโกรธเคืองถึงนัยยะเหยียดเชื้อชาติของพวกเขา
ไบเดนโกหกว่าฝ่ายต่างๆ ทั้งหมด ยกเว้นฮามาส ตกลงตามข้อเสนอหยุดยิงที่เขาประกาศเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม และได้รับข้อตกลงครอบคลุมสำหรับแผนการหยุดยิง 3 ส่วนประกอบ รวมถึงจากอิสราเอลด้วย ขณะที่ความจริงข้อเสนอดังกล่าวได้รับการตอบรับจากฮามาส แต่ฝ่ายขวาจัดอิสราเอลขัดขวางจนข้อตกลงดังกล่าวเดินหน้าไม่ได้
“ทุกคนตั้งแต่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ไปจนถึงกลุ่ม G7 ไปจนถึงอิสราเอลและนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ต่างให้การรับรองแผนที่ผมเสนอ” ไบเดนอ้าง
“ผู้เดียวที่ต้องการให้สงครามดำเนินต่อไปก็คือฮามาส” เขาอ้าง
ไบเดนกล่าวว่าฮามาส “อ่อนแอลงอย่างมาก” โดยอิสราเอล และเสริมว่าฮามาส “ควรจะถูกกำจัด”
ไบเดนอ้างว่า “มีเพียงกลุ่มฮามาสเท่านั้นที่ไม่ต้องการยุติสงคราม”
เขากล่าวว่าสิ่งเดียวที่เขายึดมาจากอิสราเอลคือระเบิด 2,000 ปอนด์ (907 กิโลกรัม) ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายต่อพลเรือนได้อย่างมาก แต่ย้ำว่าอิสราเอลได้รับ “อาวุธทั้งหมดที่พวกเขาต้องการ” จากสหรัฐอเมริกา
เมื่อพูดถึงความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ต่ออิสราเอลระหว่างการโจมตีทางอากาศของอิหร่านในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไบเดนได้เน้นย้ำว่าเขาได้ “จัดระเบียบเพื่อต่อต้านการโจมตีของอิหร่าน” และเน้นย้ำว่าพวกเขา “ช่วย” อิสราเอลไว้โดยไม่ให้ชาวอิสราเอลเสียชีวิต
สำหรับบทบาทของเขาในการเผชิญหน้ากันในคืนวันพฤหัสบดี ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์จุดยืนของไบเดน โดยเรียกเขาว่า “ชาวปาเลสไตน์ที่เลว” และกล่าวหาว่าเขา(ไบเดน)ขัดขวางไม่ให้อิสราเอล “ทำหน้าที่” ต่อกลุ่มฮามาสให้เสร็จสิ้น
การที่ทรัมป์ใช้คำว่า “ชาวปาเลสไตน์ที่เลวร้าย” เพื่อวิจารณ์ไบเดนทำให้เกิดความโกรธแค้นบนโซเชียลมีเดีย ผู้ใช้บางคนระบุว่าความเห็นดังกล่าวเป็นการเหยียดเชื้อชาติ ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นการดูหมิ่น
สภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม ซึ่งเป็นกลุ่มสิทธิพลเมืองมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ กล่าวใน X ว่าทรัมป์ใช้คำว่า “ปาเลสไตน์ที่เลว” เป็น “การดูหมิ่นเหยียดเชื้อชาติ”
อดีตประธานาธิบดีกล่าวเสริมว่า “สำหรับอิสราเอลและฮามาส อิสราเอลเป็นฝ่ายที่ต้องการไป(จากข้อตกลงสันติภาพ) เขา (ไบเดน) กล่าวว่ากลุ่มเดียวที่ต้องการไปต่อคือฮามาส จริงๆ แล้ว อิสราเอลเป็นฝ่ายที่ต้องการไป และคุณควรปล่อยให้พวกเขาไปและให้พวกเขาจัดการงานให้เสร็จ”
“เขาไม่อยากทำเช่นนั้น เขาได้กลายเป็นเหมือนชาวปาเลสไตน์ แต่พวกเขาไม่ชอบเขาเพราะเขาเป็นชาวปาเลสไตน์ที่แย่มาก เขาเป็นคนอ่อนแอ”
เมื่อถูกถามว่าเขาจะสนับสนุนรัฐปาเลสไตน์อิสระหรือไม่ ทรัมป์ลังเลใจโดยกล่าวว่า “ผมต้องดูก่อน”
ด้านเว็บไซต์ Politico ของสหรัฐฯ รายงานว่า เมื่อไบเดนไม่ได้พูดอะไรในระหว่างการอภิปราย เขาจะนิ่งเฉยอยู่หลังโพเดียม พูดอ้าปากและตาเบิกกว้างโดยไม่กระพริบตาเป็นเวลานาน
เห็นได้ชัดว่าไบเดนมีช่วงเวลาที่ยากลำบากระหว่างการอภิปราย โดยมักจะตอบด้วยน้ำเสียงแหบและเบา
ตามรายงานของ CNN เจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานด้านการรณรงค์ทุกระดับมานานกว่า 10 ปีกล่าวว่า “เป็นเรื่องยากที่จะโต้แย้งว่า Biden ควรเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อของเรา”
สมาชิกรัฐสภาคนหนึ่งกล่าวกับ CNN ว่านี่คือ “หายนะ” และกล่าวว่า “ทรัมป์ดูมีเหตุผลแม้ว่าเขาจะโกหกด้วยความเร็ว 60 ไมล์ต่อชั่วโมงก็ตาม ส่วนไบเดนนั้นฟังไม่รู้เรื่อง”
ทั้งนี้สหรัฐอเมริกาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากทั่วโลกถึงการสนับสนุนการสังหารหมู่ของอิสราเอลในฉนวนกาซา ทั้งด้วยคำพูดและอาวุธ แม้ว่ายอดผู้เสียชีวิตจะพุ่งสูงถึงหลักหมื่นคน นำไปสู่การกล่าวหาอย่างเป็นทางการว่าก่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และสหประชาชาติและกลุ่มด้านมนุษยธรรมได้ประกาศว่าการปิดล้อมของอิสราเอล ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนเผชิญความอดอยาก
อิสราเอล ละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่เรียกร้องให้หยุดยิงทันที และเผชิญกับการประณามจากนานาชาติท่ามกลางการโจมตีอย่างโหดร้ายต่อฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ถูกกลุ่มฮามาสโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023
นับตั้งแต่นั้นมา ชาวปาเลสไตน์มากกว่า 37,700 รายเสียชีวิตในฉนวนกาซา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 86,400 ราย ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่
หลังจากสงครามของอิสราเอลผ่านไปกว่าแปดเดือน พื้นที่ขนาดใหญ่ในฉนวนกาซากลายเป็นซากปรักหักพังท่ามกลางการปิดกั้นอาหาร น้ำสะอาด และยารักษาโรค
อิสราเอลถูกกล่าวหาว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งในคำตัดสินล่าสุดได้สั่งให้เทลอาวีฟหยุดปฏิบัติการในเมืองเราะฟะห์ทางตอนใต้ทันที ซึ่งชาวปาเลสไตน์กว่าล้านคนหลบหนีจากสงครามก่อนที่จะถูกรุกรานเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม
ทั้งนี้รัฐบาลของไบเดนได้ส่งอาวุธจำนวนมากไปยังอิสราเอล รวมถึงระเบิดทำลายล้างสูงน้ำหนัก 2,000 ปอนด์มากกว่า 10,000 ลูก และขีปนาวุธเฮลไฟร์หลายพันลูก นับตั้งแต่สงครามในฉนวนกาซาเริ่มต้นขึ้น ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐ 2 คนระบุ
พร้อมเสริมว่าตั้งแต่สงครามเริ่มต้นเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วจนถึงไม่กี่วันที่ผ่านมา สหรัฐได้ส่งมอบระเบิด MK-84 น้ำหนัก 2,000 ปอนด์อย่างน้อย 14,000 ลูก ระเบิดน้ำหนัก 500 ปอนด์ 6,500 ลูก ขีปนาวุธอากาศสู่พื้นนำวิถีแม่นยำเฮลไฟร์ 3,000 ลูก ระเบิดบังเกอร์บัสเตอร์ 1,000 ลูก ระเบิดขนาดเล็กที่ทิ้งจากอากาศ 2,600 ลูก และอาวุธอื่นๆ ตามคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยต่อสาธารณะ